Display Best in 1280 x 960 Screen Resolution

 

 

 

งานฉลองสิริราชสมบัติครบ  60 ปี

วันที่ 9 มิถุนายน 2549

 

แดดร่มลมตกในเย็นวันที่ 9 มิถุนายน 2549 เราก็เดินทางมาสู่เป้าหมายของเราเป็นที่เรียบร้อยในการดูการซ้อมแห่ขบวนเรือราชพิธี  ฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี
ณ คณะพยาบาลศาสตร์ ศิริราชพยาบาล

ต้องขอขอบคุณอาจารย์เกศรินทร์ที่ช่วยจับจองสถานที่ให้

 

เป็นความพยายามอย่างหนึ่งที่จะหาตำแหน่งที่สามารถมองเห็นขบวนเรือได้อย่างชัดเจน สุดท้ายเราก็ได้ตำแหน่งที่เราต้องการแล้วโดยความสามารถของพี่เด่นที่หามุมนี้มาให้เราได้

 

นั่งรออยู่นานเราก็เริ่มมีความหวังขึ้นมาแล้วเนื่องจากมีเรือลากมานำเรือพระที่นั่งไปยังต้นทางที่จะเริ่มขบวน

 

 

 

คนเป็นแสน!....ทุกคนต่างตั้งตาคอยวินาทีที่พิธีจะเริ่ม (..ขนาดวันซ้อมนะเนี่ย..) อย่างไม่กลัวร้อนกลัวฝนที่กำลังจะโปรยปรายลงมาสักนิด รวมทั้งพวกเราด้วยเช่นกัน

 

และแล้ว....วินาทีที่รอคอยก็มาถึง! เมื่อเราได้ยินเสียงกาพย์เห่เรือมาแต่ไกล...การเห่เรือนั้น นอกจากจะให้ความรื่นเริงแล้วยังเป็นการให้จังหวะเพื่อให้พลพายพายพร้อมกัน โดยทำเป็นทำนองเห่เรือที่แตกต่างกัน 3 อย่าง ขึ้นอยู่กับความต้องการให้พลพายพายช้าหรือเร็ว เช่น ในขณะเริ่มออกเรือขณะพายเรือตามน้ำ จะใช้ทำนอง ช้าลวะเห่ เมื่อเรือจวนถึงที่ประทับจะใช้ทำนอง สวะเห่ และถ้าต้องการให้พายหนักจังหวะเร็วจะใช้ทำนองมูลเห่ สำหรับคนเห่หรือที่เรียกว่าต้นบท ต้องเลือกคนที่มีเสียงดีและเสียงดังพอให้ได้ยินไปทั่วลำเรือ ส่วนบทเห่เรือนั้นนิยมประพันธ์เป็น ร้อยกรอง หรืออาจอยู่ในรูปของกลอนสด และมีอยู่หลายสำนวนด้วยกัน ในสมัยโบราณจะใช้บทใด ไม่ได้กล่าวไว้ แต่เป็นที่รู้จักกันดีและเริ่มนำมาใช้ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 แห่งราชวงศ์จักรี ได้แก่ กาพย์ห่อโคลงของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ ซึ่งนิพนธ์ไว้เมื่อตอนปลายกรุงศรีอยุธยา มี 2 เรื่อง เรื่องแรก ขึ้นต้นว่า "พระเสด็จโดยแดนชล ทรงเรือต้นงามเฉิดฉาย" สันนิษฐานว่าทรงนิพนธ์สำหรับ เรือพระที่นั่งของพระองค์เอง เวลาตามขบวนเสด็จ ฯ

 

รู้สึกทึ่งมากเลยที่คนสัญญาณเรือสามารถยืนอยู่ได้อย่างมั่นคง.....ทรงตัวเป็นเยี่ยม!....น่าจัดส่งเข้าแข่งยิมนาสติกจริงๆนะเนี่ย!

 

เรือพระที่นั่งลำแรกที่ผ่านมาคือ “เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช” ซึ่งเป็นเรือที่สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 แทนลำเดิมซึ่งสร้างในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โขนเรือปิดทองประดับกระจก
เป็นรูปพญานาค
7 เศียร พื้นเรือ สีเขียว น้ำหนัก 15.36 ตัน กว้าง 2.95 เมตร ยาว 42.95 เมตร ลึก 0.76 เมตร กินน้ำลึก 0.31 เมตร
ฝีพาย
54 นาย นายท้าย 2 นาย
เป็นเรือที่สวยมากกกก...........
คนที่ร้องเห่เรืออยู่ลำนี้แหละ .. แต่น่าเสียดายที่ถ่ายไม่ทัน...

 

ยังไม่หายตื่นตาตื่นใจเลยเรือพระที่นั่งอีกลำก็เคลื่อนขบวนมาอีกนั่นคือเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ซึ่งโปรดให้สร้างแทนลำเดิมมีนามว่า “ศรีสุพรรณหงส์” ซึ่งสร้างในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 โขนเรือเป็นรูปหงส์ ลงรักปิดทองประดับกระจก พื้นเรือสีดำน้ำหนัก 15.6 ตัน กว้าง 3.15 เมตร ยาว 44.70 เมตร ลึก 0.90 เมตร กินน้ำลึก 0.41 เมตร ฝีพาย 50 นาย นายท้าย 2 นาย นายเรือ 2 นาย พายที่ใช้เป็นพายทอง พลพายจะพายในท่านกบิน และถือเป็นธรรมเนียมว่าถ้าจะเปลี่ยนท่าพายธรรมดาจะต้องรับพระบรมราชานุญาตเสียก่อน  พอเห็น...สมองก็สั่งให้กดชัตเตอร์รัวทีเดียว....เพราะสวยงามมาก...ให้สังเกตตาของหงษ์ดูสิ...สวยมั๊กมากกก.........

 

เรือพระที่นั่งอีกลำคือ “เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์” เป็นเรือที่สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 หัวเรือจำหลักปิดทองเป็นรูปพญานาคเล็กๆ จำนวนมาก พื้นเรือสีชมพู (สวยมากกก.....) น้ำหนัก 7.7 ตัน กว้าง 3.15 เมตร ยาว 45.40 เมตร ลึก 1.11 เมตร กินน้ำลึก 1.46 เมตร ฝีพาย 61 นาย นายเรือ 2 นาย นายท้าย 2 นาย

 

เรือพระที่นั่งลำสุดท้าย ซึ่งสวยงามไม่แพ้ลำอื่นเลยนั่น ก็คือ “เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ” ซึ่งเป็นเรือพระที่นั่งประจำรัชกาลที่ 9 กองทัพเรือ ร่วมกับ กรมศิลปากร และสำนักพระราชวัง ได้ดำเนินการจัดสร้าง เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องใน วโรกาสพระราชพิธีในปีกาญจนาภิเษก มีฐานะเป็นเรือพระที่นั่งรอง ทอดบัลลังก์กัญญา เทียบเท่า เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช และเรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ พื้นเรือสีแดงชาด น้ำหนัก 20 ตัน กว้าง 3.20 เมตร ยาว 44.30 เมตร ลึก 1.10 เมตร ฝีพายจำนวน 50 นาย นายท้าย 2 นาย (เพื่อให้สอดคล้องกับ วโรกาสครบรอบ 50 ปี แห่งการครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว) เป็นเรือที่หัวเรือสวยงามมากกก...อีกเช่นเคย

 

รูปนี้เป็นไปตาม order จ้า!

 

ภาพนี้แทบจะตกลงจากตึกที่ดูเนื่องจากต้องยื่นตัวออกไปถ่ายมาแต่ก็สวยดี...ถ้ามีแสงอาทิตย์ยามเย็นอีกหน่อยคงจะดีไม่น้อย

 

 

พอเสร็จจากการดูการซ้อมขบวนเรือราชพิธีเราก็เริ่มทยอยกลับกัน....คิดดูคนเป็นแสนขนาดนี้จะโกลาหลสักเท่าไหร่
เพราะทุกคนมุ่งหน้าไปสนามหลวงและถนนราชดำเนิน เพื่อจุดเทียนชัยถวายพระพรและดูการประดับไฟที่จัดไว้ที่ถนนราชดำเนิน....
กลุ่มเราก็เลยเปลี่ยนแผนไปกินข้าวเย็นกันก่อนเพื่อให้คนที่ท่าเรือลดลงจะได้ไม่เสี่ยงกับโป๊ะล่มซะหน่อย.....ถึงแม้จะมีทุ่นอยู่กับตัวก็เถอะนะ

 

ระหว่างที่รอเรือข้ามฟากก็มีการจุดพลุเล็กๆที่ท้องสนามหลวงหลังจากจุดเทียนชัยถวายพระพรแล้ว...เห็นพลุแล้วหันมามองหน้าทุกคนแล้วเหมือนกับพลุเลยเพราะหัวยุ่งกันเป็นเกลียวเหมือนพลุเชียว

 

 

กว่าจะมาถึงสนามหลวงก็แทบแย่เลย! ขอซักภาพเถอะ....และแล้วนางแบบก็เริ่มทำงาน....แต่เอะพี่ผู้ชายคนนี้เค้าเป็นใครหนะ....

 

 

 

ซุ้มประตูแรกมีคนเยอะมากและหาที่ถ่ายยากมากเลยแต่สวยมากจนต้องหาที่ตั้งกล้องข้างทางกันเลย .....ทั้งที่ยังมีรถแล่นไปมาอยู่ข้างๆตลอดเลยนะเนี่ย

 

 

นั่นแน่...โปรดสังเกต...เหล่านายแบบเราเริ่มทำงานกันบ้างแล้ว......เพื่อไม่ให้น้อยหน้าสาวๆ

 

 

เนี่ยดูแล้วกันว่าคนมากแค่ไหน....ขอซักภาพเถอะนะ (เหล่านาย/นางแบบเปรยขึ้นมา)....ท่ามกลางคนมากมายแต่คุณพี่เด่นก็ยังสร้างสรรค์มุมเพื่อมวลชนได้อยู่ดีนะเนี่ย

 

 

และแล้วการเดินทางอันยาวไกลของเราก็มาถึงอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตยเสียที......พอเห็นดอกไม้และแสงไฟเท่านั้นแหละ..ทุกคนก็รู้งาน...แอ็คชั่น!.....

 

 

รูปนี้พี่อิ่วขอนำเสนอสุดริด! เพราะฌธอสามารถถ่ายกับน้ำพุได้เป็นคนสุดท้ายแล้วเป็นช่วงที่สีและน้ำพุสวยที่สุดซะด้วย....เธอมีองค์จริงๆนะเนี่ย

 

 

ดูซิดู๊...ใครช่างหลอกเราและน้องเบิ้มได้ว่า...ขบวนเสด็จของเจ้าชายกำลังเสด็จ....เราก็รีบวิ่งกันไปดูใหญ่เลย....แต่ที่ไหนได้...โธ่ขบวนท่านผู้ว่าและ VIP นี่เอง..ช่างยิ่งใหญ่จริงๆเล้ย....

 

 

พอเดินผ่านมาอีกหน่อยที่ศาลหลักเมืองก็เจอเวทีของกันตนาตั้งตระหง่านอยู่และมีม่านน้ำพร้อมพระบรมฉายาลักษณ์แสดงอยู่...แต่น่าเสียดายที่เราไม่สามารถถ่ายภาพใกล้ๆได้

 

มุมนี้ก็สรรสร้างได้โดยพี่เด่นอีกแล้ว....ช่างเสาะแสวงหาจริงๆ

 

 

ตอนนี้ก็เกือบเที่ยงคืนของวันที่ 9 มิถุนายน 2549 แล้ว  คงต้องถึงเวลาที่ต้องยุติการเดินทางของวันนี้เพียงเท่านี้แล้ว..ดูท่าทางยังฟิตเปรียะกันอยู่เลยนะเนี่ย ฮิฮิฮิ....