ประวัติความเป็นมา
ดาวยูเรนัส (หรือ มฤตยู) เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 7 ในระบบสุริยะ จัดเป็นดาวเคราะห์แก๊ส มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 3. ตั้งชื่อตามเทพเจ้า Ouranos ของกรีก สัญลักษณ์แทนดาวยูเรนัส คือ หรือ (ส่วนใหญ่ใช้ในดาราศาสตร์) ชื่อไทยของยูเรนัส คือ ดาวมฤตยู
ผู้ค้นพบดาวยูเรนัส คือ เซอร์วิลเลียม เฮอร์เชล(Sir William Herschel) พบในปี พ.ศ. 2324 (ค.ศ. 1781)
ต่อมาในปี พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977) นักดาราศาสตร์จากหอดูดาวไคเปอร์แอร์บอร์น (James L. Elliot, Edward W. Dunham, and Douglas J. Mink using the Kuiper Airborne Observatory) ค้นพบว่า ดาวยูเรนัสมี วงแหวนจางๆโดยรอบ
และเราก็ได้เห็นรายละเอียด ของดาวยูเรนัสพร้อมทั้งวงแหวน และดวงจันทร์บริวารในปี พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) เมื่อยานวอยเอเจอร์ 2 (Voyager 2) เคลื่อนผ่าน
ลักษณะเฉพาะทางกายภาพ
โครงสร้างภายใน
บรรยากาศชั้นนอก ประกอบด้วยไฮโดรเจนและฮีเลียมเป็นส่วนใหญ่ แต่ลึกลงไปมีส่วนประกอบของ แอมโมเนีย มีเทน ผสมอยู่ด้วย ดาวยูเรนัสแผ่ความร้อนออกจากตัวดาวน้อยมาก อาจจะเป็นเพราะภายในไม่มีการยุบตัวแล้ว หรืออาจมีบางอย่างปิดกั้นไว้ก็ยังไม่ทราบแน่ชัด นักดาราศาสตร์คาดว่า แกนของดาวยูเรนัส มีลักษณะคล้ายกับดาวเสาร์และดาวพฤหัสบดี ถัดมาเป็นแกนชั้นนอกที่เต็มไปด้วยแอมโมเนียและมีเทน เราจึงมองว่าดาวยูเรนัสเป็นสีเขียว
คาบการหมุนรอบดวงอาทิตย์
ดาวยูเรนัสโคจรรอบดวงอาทิตย์ใช้เวลา 84 ปี แกนของดาวทำมุมกับระนาบระบบสุริยะถึง 98 องศา ทำให้ฤดูกาลบนดาวยาวนานมาก คือ ด้านหนึ่งจะมีฤดูหนาว 42 ปี และอีกด้านจะร้อนนาน 42 ปี และบางที่บนดาวพระอาทิตย์จะไม่ตกเลยตลอด 42 ปี และบางที่ก็จะไม่ได้รับแสงเลยตลอด 42 ปี ที่ระยะนี้ พลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์แผ่มาน้อยมาก จึงทำให้กลางวันและกลางคืนของดาวยูเรนัสมีอุณหภูมิต่างกัน 2 องศาเซลเซียสเท่านั้น
ดาวบริวารของดาวยูเรนัส
ดาวยูเรนัส เป็นดาวเคราะห์แก๊สขนาดยักษ์ในระบบสุริยะ มีดวงจันทร์ที่รู้จักแล้ว 27 ดวง[1] โดยทั้งหมดถูกตั้งชื่อตามตัวละครในผลงานการประพันธ์ของวิลเลียม เชกสเปียร์ และอเล็กซานเดอร์ โปป[2] โดยใน ค.ศ. 1787 ดวงจันทร์สองดวงแรกถูกค้นพบโดยวิลเลียม เฮอร์เชล ได้แก่ ทิทาเนียและโอเบอรอน ส่วนดวงจันทร์ทรงกลมอื่น ๆ ถูกค้นพบโดยวิลเลียม ลาสเซลล์ ในปี ค.ศ. 1851 (ได้แก่ แอเรียลและอัมเบรียล) และในปี ค.ศ. 1948 โดยเจอราร์ด ไคเปอร์ (มิแรนดา)[2] ดวงจันทร์ที่เหลือถูกค้นพบหลังจากปี ค.ศ. 1985 โดยภารกิจของวอยเอจเจอร์ 2 และด้วยความช่วยเหลือของกล้องโทรทรรศน์บนโลกที่ทันสมัย[1][3]
ดวงจันทร์ของดาวยูเรนัสถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มดวงจันทร์รอบในสิบสามดวง (thirteen inner moons), กลุ่มดวงจันทร์ขนาดใหญ่ห้าดวง (five major moons) และกลุ่มดวงจันทร์ทรงแปลกเก้าดวง (nine irregular moons) โดยกลุ่มดวงจันทร์รอบในสิบสามดวงจะกระจัดกระจายอยู่ภายในบริเวณวงแหวนของดาวยูเรนัส กลุ่มดวงจันทร์ขนาดใหญ่ห้าดวงเป็นดวงจันทร์ที่มีขนาดใหญ่และเป็นทรงกลม ในนั้น 4 ดวงเป็นดวงจันทร์ที่ยังมีกระบวนการภายใน มีภูเขาไฟ และการเปลี่ยนแปลงบนเปลือกดาวอยู่[3] ดวงจันทร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่มคือ ทิทาเนีย มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1,578 กม. และยังเป็น 1 ใน 8 ดวงจันทร์ขนาดใหญ่ในระบบสุริยะ ส่วนกลุ่มดวงจันทร์ทรงแปลกเก้าดวง เป็นดวงจันทร์ที่มีรูปร่างผิดปกติและมีวงโคจรที่เอียง (ส่วนใหญ่) ทำมุมกับดาวยูเรนัสและโคจรอยู่ไกลมาก
การค้นพบ
ในครั้งแรก ดวงจันทร์ทิทาเนียกับดวงจันทร์โอเบอรอน ถูกค้นพบโดยเซอร์วิลเลียม เฮอร์เชล เมื่อวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 1787 6 ปีหลังจากที่เขาค้นพบดาวเคราะห์ของตัวเอง ต่อมา เฮอร์เชลได้ค้นพบดวงจันทร์อีกถึง 6 ดวง
] รายชื่อ
อันดับ
|
ลำดับค้นพบ
|
ชื่อ
|
ภาษาอังกฤษ
|
ภาพ |
เส้นผ่านศูนย์กลาง
(กม.)
|
มวล
(18 × กก.)
|
กึ่งแกนเอก
(กม.)[4]
|
คาบดาราคติ
(วัน)
|
ความเอียงของวงโคจร
(°)[4]
|
ความเยื้องศูนย์กลาง
[5]
|
ปีที่ค้นพบ[2]
|
ค้นพบโดย
[2]
|
1 |
06 VI |
คอร์ดีเลีย |
Cordelia |
|
0040 40 ± 6
(50 × 36) |
000004 0.044 |
00049000 49,751 |
0000.33 0.335034 |
000.084 0.08479° |
0.00026 |
1986 |
เทอร์ไรล์
(วอยเอจเจอร์ 2) |
2 |
07 VII |
โอฟีเลีย |
Ophelia |
|
0043 43 ± 8
(54 × 38) |
000005 0.053 |
00053000 53,764 |
0000.37 0.376400 |
000.103 0.1036° |
0.00992 |
1986 |
เทอร์ไรล์
(วอยเอจเจอร์ 2) |
3 |
08 VIII |
เบียงกา |
Bianca |
|
0051 51 ± 4
(64 × 46) |
000009 0.092 |
00059000 59,165 |
0000.43 0.434579 |
000.193 0.193° |
0.00092 |
1986 |
สมิท
(วอยเอจเจอร์ 2) |
4 |
09 IX |
เครสซิดา |
Cressida |
|
0080 80 ± 4
(92 × 74) |
000034 0.34 |
00061000 61,766 |
0000.46 0.463570 |
000.006 0.006° |
0.00036 |
1986 |
ซินนอตต์
(วอยเอจเจอร์ 2) |
5 |
10 X |
เดสดิโมนา |
Desdemona |
|
0064 64 ± 8
(90 × 54) |
000018 0.18 |
00062000 62,658 |
0000.47 0.473650 |
000.111 0.11125° |
0.00013 |
1986 |
ซินนอตต์
(วอยเอจเจอร์ 2) |
6 |
11 XI |
จูเลียต |
Juliet |
|
0094 94 ± 8
(150 × 74) |
000056 0.56 |
00064000 64,360 |
0000.49 0.493065 |
000.065 0.065° |
0.00066 |
1986 |
ซินนอตต์
(วอยเอจเจอร์ 2) |
7 |
12 XII |
พอร์ชา |
Portia |
|
0135 135 ± 8
(156 × 126) |
000170 1.70 |
00066000 66,097 |
0000.51 0.513196 |
000.059 0.059° |
0.00005 |
1986 |
ซินนอตต์
(วอยเอจเจอร์ 2) |
8 |
13 XIII |
รอซาลินด์ |
Rosalind |
|
0072 72 ± 12 |
000025 0.25 |
00069000 69,927 |
0000.55 0.558460 |
000.279 0.279° |
0.00011 |
1986 |
ซินนอตต์
(วอยเอจเจอร์ 2) |
9 |
27 XXVII |
คีวปิด |
Cupid |
|
0018 ~18 |
000000.38 0.0038 |
00074000 74,800 |
0000.61 0.618 |
000.1 0.1° |
0.0013 |
2003 |
โชวัลเทอร์และ
ลิสซาวเวอร์ |
10 |
14 XIV |
เบลินดา |
Belinda |
|
0090 90 ± 16
(128 × 64) |
000049 0.49 |
00075000 75,255 |
0000.62 0.623527 |
000.031 0.031° |
0.00007 |
1986 |
ซินนอตต์
(วอยเอจเจอร์ 2) |
11 |
25 XXV |
เพอร์ดิตา |
Perdita |
|
0030 30 ± 6 |
000002 0.018 |
00076000 76,420 |
0000.63 0.638 |
000 0.0° |
0.0012 |
1999 |
คาร์คอชกา
(วอยเอจเจอร์ 2) |
12 |
15 XV |
พัก |
Puck |
|
0162 162 ± 4 |
000290 2.90 |
00086000 86,004 |
0000.76 0.761833 |
000.319 0.3192° |
0.00012 |
1985 |
ซินนอตต์
(วอยเอจเจอร์ 2) |
13 |
26 XXVI |
แมบ |
Mab |
|
0025 ~25 |
000001 0.01 |
00097000 97,734 |
0000.92 0.923 |
000.133 0.1335° |
0.0025 |
2003 |
โชวัลเทอร์และ
ลิสซาวเวอร์ |
14 |
05 V |
‡มิแรนดา |
Miranda |
|
0470 471.6 ± 1.4
(481 × 468 × 466) |
006600 65.9 ± 7.5 |
00129000 129,390 |
0001.4 1.413479 |
004 4.232° |
0.0013 |
1948 |
ไคเปอร์ |
15 |
01 I |
‡แอเรียล |
Ariel |
|
1157 1,157.8 ± 1.2
(1162 × 1156 × 1155) |
135000 1,353 ± 120 |
00191000 191,020 |
0002.5 2.520379 |
000.260 0.260° |
0.0012 |
1851 |
ลาสเซลล์ |
16 |
02 II |
‡อัมเบรียล |
Umbriel |
|
1169 1,169.4 ± 5.6 |
117000 1,172 ± 135 |
00266000 266,300 |
0004.1 4.144177 |
000.205 0.205° |
0.? |
1851 |
ลาสเซลล์ |
17 |
03 III |
‡ทิทาเนีย |
Titania |
|
1577 1,576.8 ± 1.2 |
353000 3,527 ± 90 |
00435000 435,910 |
0008.7 8.705872 |
000.340 0.340° |
0.0011 |
1787 |
เฮอร์เชล |
18 |
04 IV |
‡โอเบอรอน |
Oberon |
|
1522 1,522.8 ± 5.2 |
301000 3,014 ± 75 |
00583000 583,520 |
0013 13.463239 |
000.058 0.058° |
0.0014 |
1787 |
เฮอร์เชล |
19 |
22 XXII |
♠ฟรานซิสโก |
Francisco |
|
0022 ~22 |
000000.72 0.0072 |
04000000 4,276,000 |
0266 −266.56 |
147.459° |
0.1459 |
2003 [6] |
ฮอลแมนและคณะ |
20 |
16 XVI |
♠แคลิแบน |
Caliban |
|
0072 ~72 |
000025 0.25 |
07000000 7,231,000 |
0579 −579.73 |
139.885° |
0.1587 |
1997 |
แกลดแมนและคณะ |
21 |
20 XX |
♠สเตฟาโน |
Stephano |
|
0032 ~32 |
000002.2 0.022 |
08000000 8,004,000 |
0677 −677.37 |
141.873° |
0.2292 |
1999 |
แกลดแมนและคณะ |
22 |
21 XXI |
♠ทริงคูโล |
Trinculo |
|
0018 ~18 |
000000.39 0.0039 |
08000000 8,504,000 |
0749 −749.24 |
166.252° |
0.2200 |
2001 |
ฮอลแมนและคณะ |
23 |
17 XVII |
♠ซิคอรักซ์ |
Sycorax |
|
0150 ~150 |
000230 2.30 |
12,179,000 |
1288 −1288.28 |
152.456° |
0.5224 |
1997 |
นิโคลสันและคณะ |
24 |
23 XXIII |
มาร์การิต |
Margaret |
|
0020 ~20 |
000000.54 0.0054 |
14,345,000 |
1687 1687.01 |
051 51.455° |
0.6608 |
2003 |
เชปเพิร์ดและ
ยิวอิตต์ |
25 |
18 XVIII |
♠พรอสเพอโร |
Prospero |
|
0050 ~50 |
000008.5 0.085 |
16,256,000 |
1978 −1978.29 |
146.017° |
0.4448 |
1999 |
ฮอลแมนและคณะ |
26 |
19 XIX |
♠เซเทบัส |
Setebos |
|
0048 ~48 |
000007.5 0.075 |
17,418,000 |
2225 −2225.21 |
145.883° |
0.5914 |
1999 |
แคเวลาร์สและคณะ |
27 |
24 XXIV |
♠เฟอร์ดินานด์ |
Ferdinand |
|
0020 ~20 |
000000.54 0.0054 |
20,901,000 |
2805 −2805.51 |
167.346° |
0.3682 |
2003 |
ฮอลแมนและคณะ |
|
วงแหวน
วงแหวนของดาวยูเรนัสมีความมืดมาก ผิดกับวงแหวนที่สว่างของดาวเสาร์ ถ้าไม่มองด้วยกล้องโทรทัศน์ก็จะมองไม่เห็น วงแหวนของดาวยูเรนัสถูกพบโดยหอดูดาวแอร์บอร์นในปี 1977 ซึ่งเป็นยานชนิดพิเศษที่นำกล้องโทรทัศน์ไปด้วย นักดาราศาสตร์บนเครื่องบินเฝ้ามองดูดาวยูเรนัสเมื่อมีดาวฤกษ์เคลื่อนไหวมาตรงข้ามหน้าของมัน ยานวอยเอเจอร์ 2 มองดูที่วงแหวนเมื่อมันบินผ่านดาวยูเรนัส วงแหวนของดาวยูเรนัสจะแคบ วงแหวนที่กว้างที่สุดคือช่องว่างที่ใหญ่ซึ่งประกอบไปด้วยก้อนฝุ่น ยานวอเยเจอร์พบส่วนโค้งบางอย่าง ซึ่งเป็นส่วนของวงแหวนที่ไม่สมบูรณ์ วงแหวนของดาวยูเรนัสประกอบด้วยชิ้นน้ำแข็งมืดที่เคลื่อนไหว น้ำแข็งประกอบด้วยมีเทนแข็ง ชิ้นส่วนของมันอาจจะชนกันและทำให้เกิดฝุ่นที่อยู่ในช่องว่างระหว่างวงแหวน
-
|