บทที่
5
การประยุกต์ใช้ Non parametric statistics บางประการสำหรับงานวิจัย
Non
parametric statistics ที่นำมาใช้เพื่อในการวิเคราะห์ข้อมูลจำแนกประเภท
หรือนับความถี่
ของแต่ละระดับหรือของแต่ละกลุ่ม คือไคสแควร์ (c2) การทดสอบไคสแควร์มีหลายรูปแบบ
แต่ในที่นี้จะแยกเป็นดังนี้
1. การทดสอบสมมติฐานสำหรับข้อมูลที่จำแนกทางเดียว
แบ่งเป็น
1.1 การทดสอบความแตกต่างระหว่างความถี่
1.2 การทดสอบสัดส่วนประชากรว่าเท่ากับที่คาดหวังหรือไม่
1.3 การทดสอบการแจกแจงของประชากรว่าเป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่(Goodness of fit)
2. การทดสอบสมมติฐานสำหรับข้อมูลที่จำแนกสองทาง
2.1 การทดสอบความเป็นอิสระกันระหว่างลักษณะ 2 ลักษณะ(ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ตัว)
1. การทดสอบสมมติฐานสำหรับข้อมูลที่จำแนกทางเดียว ลักษณะของข้อมูลที่จำแนกทางเดียว
คือเป็นข้อมูลที่จำแนกตามลักษณะใดลักษณะหนึ่งเพียงลักษณะเดียว เช่น
จำแนกคนตามระดับการศึกษาสูงสุด เช่น ต่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนปลาย มัธยมศึกษาตอนปลาย ปริญญาตรีหรืออนุปริญญา สูงกว่าปริญญาตรี
การทดสอบสมมติฐานสำหรับข้อมูลที่จำแนกทางเดียวดังกล่าว
สามารถทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติไคสแควร์ (c2) โดยมีข้อตกลงเบื้องต้น ดังนี้
ข้อตกลงเบื้องต้นของ c2 - test
1. ข้อมูลแต่ละค่าจะต้องอยู่ที่ cell ใด cell หนึ่ง เท่านั้น
2. ข้อมูลแต่ละค่าจะเป็นอิสระจากข้อมูลอื่น
3. ข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์จะเป็นค่าความถี่
4. ค่าความถี่คาดหวังในแต่ละ Cell จะต้องไม่น้อยกว่า 5 สำหรับ กรณีที่ df ³ 2 และไม่น้อยกว่า 10 ถ้า df
= 1
ทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติไคสแควร์ (c2)ในที่นี้จะสรุปเป็น 3 ลักษณะ
คือการทดสอบความแตกต่างระหว่างความถี่
การทดสอบสัดส่วนประชากรว่าเท่ากับที่คาดหวังหรือไม่
และการทดสอบการแจกแจงของประชากรว่าเท่ากับที่คาดหวังหรือไม่ (Goodness of fit) โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.1 การทดสอบความแตกต่างระหว่างความถี่
การทดสอบแบบนี้จะมีตัวแปรที่ต้องการวิเคราะห์มีเพียงตัวเดียว แต่แบ่งเป็นหลายประเภท และทดสอบว่า
ความถี่ที่เกิดขึ้นในแต่ละประเภทเท่ากันหรือไม่ หรือทดสอบว่าความถี่ที่เกิดขึ้นเท่ากับความถี่ที่กำหนดหรือไม่
โดยมีสมมติฐาน คือ
H 0 : P1 = P2 =… Pk = 1/k
H 1 : Pi
: ¹ 1/k อย่างน้อย 1 ค่า I = 1 , 2 ,… k
โดยมีสถิติที่ใช้ในการทดสอบ
คือ
n
c
2 = å ( Oi- E
i ) 2
i=1
E
i
เมื่อ c
2 = สัญลักษณ์ของไคส์แควร์
O = ความถี่ที่แจงนับได้
E = ความถี่ที่คาดหวังหรือที่กำหนด
n = จำนวนตัวอย่างทั้งหมด
เขตปฏิเสธ จะปฏิเสธ H 0 เมื่อ c
2 > c 2(1 - a ) : k-1
ตัวอย่าง
ในโรงเรียนแห่งหนึ่งได้ให้นักเรียน100 คน เลือกครูภาษาไทยดีเด่นในโรงเรียน ซึ่งมี
ครูภาษาไทยอยู่ 5 คน คือครู ก ครู ข ครู ค ครู ง และครู จ
โดยที่ผู้อำนวยการโรงเรียนต้องการทราบว่าครู จ ซึ่งเป็นครูใหม่
จะได้รับการเลือกจากนักเรียนแตกต่างจากครูเก่าหรือไม่
สามารถคำนวณหาค่า c
2
ได้ดังนี้
ครู |
O |
E |
O- E |
(O- E)2 |
(O- E)2/E |
ก ข ค ง จ |
17 27 22 15 19 |
20 20 20 20 20 |
-3 7 2 -5 -1 |
9 49 4 25 1 |
.45 2.45 .20 1.25 .05 |
รวม |
100 |
100 |
0 |
|
4.40 |
n
c
2 = å ( Oi- E
i ) 2
i=1
E
i
= 4.40
เขตปฏิเสธ จะปฏิเสธ H 0 เมื่อ c
2 > c 2 a : k-1
ที่องศาอิสระ 5-1 = 4 จากการเปิดตาราง c
2 ได้c
2(0.95: 4) =9.49 ซึ่งมากกว่า
4.4 จึงไม่สามารถปฏิเสธ H 0 นั่นคือยอมรับ H 0 คือ
ครูได้รับการเลือกจากนักเรียนไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
1.2
การทดสอบสัดส่วนประชากรว่าเท่ากับที่คาดหวังหรือไม่ การทดสอบแบบนี้จะมีตัวแปรที่ต้องการวิเคราะห์มีเพียงตัวเดียว แต่แบ่งเป็นหลายประเภท
และทดสอบว่าสัดส่วนที่เกิดขึ้นเท่ากับสัดส่วนที่กำหนดหรือไม่ โดยมีสมมติฐาน คือ
H 0 : P1
: P2 … : Pk = P10 : P20 … : Pk0
H 1 : Pi ¹ Pi0 อย่างน้อย
1 ค่า ; i = 1, 2 ,…k
โดยที่ Pi0
=
สัดส่วนที่คาดว่าจะเป็น
ซึ่งเป็นค่าคงที่ อยู่ระหว่าง 0
– 1
สถิติที่ใช้ทดสอบคือ n
c
2 = å ( Oi- E
i ) 2
i=1
E
i
เมื่อ c
2 = สัญลักษณ์ของไคสแควร์
O = ความถี่ที่แจงนับได้
E = ความถี่ที่คาดหวังหรือที่กำหนด
n = จำนวน
สูตรคำนวณ E = n pi0
เขตปฏิเสธ จะปฏิเสธ H 0 เมื่อ c
2 > c 2 a : k-1
ตัวอย่าง
ยาแก้ปวดศีรษะชนิดหนึ่ง บริษัทอ้างว่ารักษาผู้ป่วยหายภายใน 3 ชั่วโมง ร้อยละ 90 เพื่อทดสอบสรรพคุณของยาชนิดนี้ จึงเลือกผู้ป่วยมา 400 คน
และให้กินยาดังกล่าวพบว่าหายภายใน 3 ชั่วโมง 320
คนยาชนิดนี้สรรพคุณตามที่อ้างหรือไม่
การคำนวณ ถ้ายานี้มีสรรพคุณที่อ้างผู้ป่วย 100 คน จะต้องหาย 90
ฉะนั้นถ้าทดลองกับผู้ป่วย 400 คน
จะต้องหาย 360 คน และไม่หาย 40 คน
จากหลักการนี้สามารถคำนวณหาค่าไคสแควร์ ดังนี้
สมมติฐาน สัดส่วนการหายปวด : ไม่หายปวด = 90 : 10
หรือ H 0 : P1
: P2
= 90 : 10
H 1 : P1 :
P2
¹ 90 : 10
E = n p
ผลการทดลอง
|
O |
E |
O -E |
( O -E ) 2 |
( O -E ) 2 / E |
หาย |
320 |
360 |
- 40 |
1600 |
4.44 |
ไม่หาย |
80 |
40 |
40 |
1600 |
40.00 |
รวม |
400 |
400 |
0 |
|
44.44 |
ฉะนั้น c 2 = 44.44 นำไปเปรียบเทียบกับค่า c 2 ในตาราง df = 2-1 = 1 และ a =0.05 =3.84 แสดงว่าค่า c 2 ที่คำนวณได้มากกว่าค่าในตาราง หมายความว่า
ยานี้ให้ผลต่างจากร้อยละ 90 นั้น คือ
ไม่มีสรรพคุณตามที่อ้างไว้
อนึ่ง ในการคำนวณค่า c 2 ถ้า df = 1หรือ ค่า E น้อยกว่า 5
ควรปรับสูตรด้วยการเอา 0.5 ลบออกจากผลที่ได้ไม่ติดเครื่องหมายก่อนแล้วจึงยกกำลังสองจึงจะทำให้ค่า c 2 ที่ได้ตรงกับความเป็นจริงมากขึ้น สูตรก็เป็น
c 2
= å (÷ O -Eô- 0.5) 2
E
1.3
การทดสอบการแจกแจงของประชากรว่าเป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่ การทดสอบแบบนี้จะมีตัวแปรที่ต้องการวิเคราะห์มีเพียงตัวเดียว แต่แบ่งเป็นหลายประเภท
และทดสอบว่าสัดส่วนที่เกิดขึ้นเท่ากับสัดส่วนตามการแจกแจงตามที่คาดหวังหรือไม่
ยังคงเรียกว่าการทดสอบภาวะรูปสนิทดี (Goodness of fit)การแจกแจงที่คาดไว้อาจเป็นการแจกแจงแบบต่อเนื่อง
เช่นการแจกแจงแบบปกติ หรือการแจกแจงแบบไม่ต่อเนื่อง
เช่นการแจกแจงแบบทวินามหรือการแจกแจงแบบปัวซอง
โดยมีสมมติฐาน คือ
H 0 : ประชากรมีการแจกแจงแบบ
Y
H 1 : ประชากรไม่ได้มีการแจกแจงแบบ
Y
โดยที่ Y อาจเป็นแบบปกติ ทวินามหรือปัวซอง
สถิติที่ใช้ทดสอบคือ
n
c 2 = å ( Oi- E
i ) 2
i=1
E
i
เมื่อ c
2 = สัญลักษณ์ของไคส์แควร์
O = ความถี่ที่แจงนับได้
E = ความถี่ที่คาดหวังหรือที่กำหนด
n = จำนวน
สูตรคำนวณ E = n ´ ความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้นในลักษณะที่
i ของการแจกแจงที่คาดไว้
โดยที่ c
2
มีการแจกแจงแบบไคสแควร์ที่องศาอิสระ (k-1)-m
m คือจำนวนพารามิเตอร์ที่ต้องประมาณค่า จะมีค่าเท่าไรขึ้นอยู่กับการแจกแจงที่คาดไว้ที่ต้องการทดสอบ เช่น
ถ้าสมมติฐาน คือ H 0
: ประชากรมีการแจกแจงแบบปกติ
m = 2
เนื่องจากต้องประมาณค่าเฉลี่ยและค่าความแปรปรวน c
2 ~ c 2(k-1-2)
ถ้าสมมติฐาน คือ H 0 : ประชากรมีการแจกแจงแบบปกติด้วยค่าเฉลี่ย
= 5 ค่าความแปรปรวน = 6
m = 0 เนื่องจากไม่ต้องประมาณค่าเฉลี่ย (m)และค่าความแปรปรวน(s2) c
2 ~ c 2(k-1)
ตัวอย่าง
จากการถามคนไทยในเขตหนองจอก จำนวน 83 คน ถึงรายได้ต่อเดือน ปรากฏว่าได้ข้อมูล ดังนี้
รายได้ต่อเดือน(หน่วย:100,000 บาท |
จำนวน (คน) |
น้อยกว่า .1 .1แต่น้อยกว่า .15 .15 แต่น้อยกว่า .20 .20 แต่น้อยกว่า .25 ตั้งแต่ .25 ขึ้นไป รวม |
12 20 23 15 13 83 |
จงทดสอบว่ารายได้ของคนในเขตหนองจอก
มีการแจกแจงปกติด้วยรายได้เฉลี่ย 20,000บาทต่อเดือน ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 5,000
บาทต่อเดือนที่ระดับความเชื่อมั่น 99%
สมมติฐานเพื่อการทดสอบ
คือ
H 0 : รายได้ของคนหนองจอกมีการแจกแจงแบบปกติด้วยรายได้เฉลี่ย
20,000 บาท ส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐาน 5,000 บาท
H 1 : รายได้ของคนหนองจอกไม่มีการแจกแจงแบบปกติด้วยรายได้เฉลี่ย
20,000 บาท ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 5,000
บาท
สถิติที่ใช้ทดสอบคือ
n
c
2 = å ( Oi- E
i ) 2
i=1
E
i
เมื่อ O1 = 12 , O2 = 20 ,
O3 = 23 , O4 = 15 , O5 = 13
ให้ x = รายได้ต่อเดือนของคนในเขตหนองจอก
คำนวณหาค่า E ได้ดังนี้
เมื่อ H 0 จริง
E = np
โดยที่ p = ความน่าจะเป็นที่คนในเขตหนอกจอกมีรายได้ในช่วงที่
i
; i =1,2,3,4,5
นั่นคือคำนวณค่า p เมื่อ x ~ normal ((m= .2 ,s= .05) ดังแสดงในรูป
รูปหน้า
191 กัลยาน้ำเงิน
เปลี่ยน x เป็นz โดยที่ z = x - m /s = x - .2 / .05 ได้ค่า z และหาค่า E ได้ดังตาราง ดังนี้
ช่วงที่ |
รายได้(x) |
z = x -
.2 / .05 |
p |
E= 83p
|
O
|
1 2 3 4 5 |
x < .1 .1< x < .15 .15 < x < .2 .2 <
x < .25 x ³ .25 |
.1 - .2
/ .05 =
- 2 .15 - .2
/ .05 = - 1 .2 - .2
/ .05 = 0 .25 - .2
/ .05 = 1 |
.0228 .1359 .3413 .3413 .1587 |
1.89 11.28 28.33 28.33 13.17 |
12 20 23 15 13 |
เนื่องจากE1 = 1.89 น้อยกว่า 5
จึงรวมรายได้ช่วงที่ 1
และช่วงที่2 เข้าด้วยกัน ดังนั้นจำนวนช่วงจึงเหลือ 4 และ O1
= 12+20 =32 E1=
1.89+11.28 = 13.17
c 2 = å ( O- E ) 2
E
= (32-13.17)2 +(23-28.33)2 +(15-28.33)2 +(13-13.17)2
13.17
28.33
28.33
13.17
= 34.20
เขตปฏิเสธ จะปฏิเสธ H 0 เมื่อ c 2
> c 2.01 : 4-1 จากการเปิดตาราง c
2 ได้c
2.01 : 3 = 11.34 ดังนั้นจึงปฏิเสธ H 0 นั่นคือ รายได้ต่อเดือนของคนในเขตหนองจอกไม่ได้มีการแจกแจงแบบปกติ
ที่มีค่าเฉลี่ย = 20,000 บาท ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน =
5,000 บาทอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
สำหรับการทดสอบการแจกแจงลักษณะอื่นๆก็มีวิธีการหาเช่นเดียวกัน
2. การทดสอบสมมติฐานสำหรับข้อมูลที่จำแนกสองทาง
2.1
การทดสอบความเป็นอิสระกันระหว่างลักษณะ 2 ลักษณะ (ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ตัวแปร)
กรณีนี้จะมีตัวแปร 2 ตัว
ระดับการวัดเป็นนามบัญญัติ ( Nominal scale ) ทั้งคู่
โดยใช้ตารางจำแนกแบบ 2 ทาง คือแนวตั้งและแนวนอน ตัวอย่าง เช่น
เพศกับผลการเรียนเป็นอิสระกันหรือไม่ โดยที่เพศ แบ่งเป็น 2
กลุ่ม คือ ชาย และหญิง ส่วนผลการเรียนแบ่งเป็น ดี ปานกลาง อ่อน เป็นต้น
สถิติที่ใช้คงเป็น c 2 โดยมีสมมติฐาน
คือ
H 0 : ลักษณะหรือตัวแปรทั้งสองเป็นอิสระกัน
H 1 : ลักษณะหรือตัวแปรทั้งสองไม่เป็นอิสระกัน
สถิติที่ใช้ทดสอบคือ
c 2
= å ( O- E ) 2
E
โดยที่ E = R ´ C
N
C = ผลรวมของความถี่ในแนวตั้ง
N =
ผลรวมของความถี่ทั้งหมด
เขตปฏิเสธ จะปฏิเสธ H 0 เมื่อ c
2 > c 2a : (
r- 1 ) ( c - 1) ด้วยองศาอิสระ (r-1)(c-1)
ตัวอย่าง
จากการศึกษาจำนวนนักศึกษาที่มีความเชื่อโชคลาง จำแนกตามประเภทนักศึกษา
ประเภทนักศึกษา
เชื่อ ไม่แน่ใจ ไม่เชื่อ รวม
วิทยาศาสตร์
5 45 50 100
แพทยศาสตร์ 25 55 20 100
รัฐศาสตร์ 40 40 20 100
อักษรศาสตร์ 45 25 30 100
สังคมศาสตร์ 35 35 30 100
รวม
150
200
150 500
จากตาราง
หาความถี่ที่คาดหวัง ( E ) ของแต่ละประเภทได้ด้วยสูตร
E = R ´ C
N
เมื่อ R = ผลรวมของความถี่ในแถวนอน
N =
ผลรวมของความถี่ทั้งหมด
เช่น แถวนอน เมื่อ O
= 5 , E =
100 X150 = 30
500
ทำนองเดียวกันจะคำนวณค่า
E ของทุกประเภทได้ ซึ่งจะได้ตาราง
ตาราง จำนวนนักศึกษาที่คาดว่าจะเชื่อโชคลาง จำแนกตามประเภทของนักศึกษา
เชื่อ ไม่แน่ใจ ไม่เชื่อ
O E O E
O E
วิทยาศาสตร์ 5
30 45 40
50
30
แพทย์ศาสตร์
25
30 55 40 20 30
รัฐศาสตร์
40
30 40 40
20
30
อักษรศาสตร์
45
30
25
40 30 30
สังคมศาสตร์
35
30 35 40 30 30
จากตาราง ก็จะหาค่า c 2 ได้ด้วยการแทนค่าในสูตรดังนี้
c 2= ( 5 - 30 ) 2 + ( 25 - 30 ) 2 + ( 40
- 30 ) 2 + ( 45 -
30 ) 2 + (
35 - 30 ) 2
30
30
30
30
30
= 65.83
การแปลความหมายจะต้องนำค่า c 2 ที่คำนวณได้ไปเปรียบเทียบกับ ค่า c 2 ในตาราง
df = ( r - 1 ) ( c -1 ) = ( 3 - 1 ) ( 5 - 1 ) = 8 และµ ที่กำหนด คือ 0.05 หรือ 0.01
หรือ 0.001 ถ้ากำหนด = 0.05 ค่า c 2ในตารางจะได้ 15.51 ซึ่งค่าที่คำนวณได้มากกว่า
แสดงว่าการเชื่อโชคลางไม่เป็นอิสระจากประเภทของนักศึกษา
หรือการเชื่อโชคลางมีความสัมพันธ์กับประเภทของนักศึกษา
แต่ยังไม่ทราบว่าประเภทใดกับประเภทใดสัมพันธ์กันบ้างจะต้องวิเคราะห์รายคู่ต่อไป ด้วยการจับนักศึกษาแต่ละประเภท
เปรียบเทียบกันทีละคู่ ๆ หาค่า E ใหม่ และแทนค่าในสูตรเดิม เช่น
คู่วิทยาศาสตร์กับแพทย์ศาสตร์
ก็จะได้ดังตาราง
เชื่อ ไม่แน่ใจ ไม่เชื่อ
วิทยาศาสตร์
5
15
45
50
50
35
แพทยศาสตร์
25
15
55
50
20
35
สำหรับการทดสอบสมมติฐาน c 2 ที่ทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปรหรือทดสอบความเป็นอิสระของตัวแปร โดยใช้โปรแกรม SPSS
for Windows มีรายละเอียด ดังนี้
การทดสอบ c 2 โดยใช้โปรแกรม SPSS for Windows
การทดสอบc 2 สามารถการวิเคราะห์ โดยใช้โปรแกรม SPSS
for Windows มีวิธีการ ดังนี้
1 ) อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร
1 . ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร 2 ตัว
ที่มีระดับการวัดเป็น nominal
( ใช้สถิติ c 2)
1.1 ใช้คำสั่ง
Analyze
Descriptive Statistics
จะได้หน้าจอดังรูปที่ 1
Crosstabs
รูปที่ 1
จากรูปที่ 1 - เลือกตัวแปรที่มีการวัดระดับ nominal ที่ต้องการใส่ใน Box ของ Row และ Column
1.2
เลือก statistics จะได้หน้าจอดังรูปที่ 2
จากรูปที่ 2 เลือก chi - square แล้วเลือก continue จะกลับไปหน้าจอรูปที่ 1
1.3 เลือก cells จะได้หน้าจอดังรูปที่ 3
รูปที่ 3
จากรูปที่
3 สามารถเลือก counts , percentages และ Residuals เมื่อ เลือกแล้วเลือก continue จะกลับไปหน้าจอรูปที่ 1
1.4 เลือก Format….. จะได้หน้าจอ ดังรูปที่ 4
รูปที่ 4
จาก
รูปที่ 4 เลือก Row Order
- Ascending แสดงตัวแปร row ตามค่าที่เรียงจากน้อยไปมาก
- Descending แสดงตัวแปร row ตามค่าที่เรียงจากมากไปน้อย
เลือก continue จะกลับมาหน้าจอรูปที่ 1 เลือก OK จะได้ผลลัพธ์แสดงในตารางที่ 1-2
ตารางที่
1 School * Status of parent Crosstabulation
|
status of parent |
… |
|||
|
1 (คู่) |
2 (หม้าย) |
3(หย่า) |
4 (แยก) |
Total |
School
1
Count
% within school
%
within status
% of Total |
306
95.3 % 24.3% 21.5% |
5 1.6% 8.9% 0.4% |
5 1.6% 9.1% 0.4% |
5 1.6% 9.3% 0.4% |
321 100.0% 22.5% 22.5% |
School
2
Count
% within school
% within status
% of Total |
431 88.1
% 34.2% 30.2% |
17 3.5
% 30.4% 1.2% |
20 4.1
% 36.4% 1.4% |
21 4.3
% 38.9% 1.5% |
489 100.0
% 34.3% 34.3% |
School
3
Count
% within school
% within status
% of Total |
265 84.1
% 21.0% 18.6% |
22 7.0
% 39.3% 1.5% |
13 4.1
% 23.6% 0.9% |
15 4.8
% 27.8% 1.1% |
315 100.0
% 22.1% 22.1% |
%
within school
4
% within status
% of Total |
288 86
% 20.5% 18.1% |
12 4.0% 21.4% 0.8% |
17 5.7% 30.9% 1.2% |
13 4.3% 24.1% 0.9% |
300 100% 21.1% 21.1% |
School
total
Count
% within school
% within status
% of Total |
1260 88.4
% 100% 88.4% |
56 3.9
% 100% 3.9% |
55 3.9
% 100% 3.9% |
54 3.8
% 100% 3.8% |
1425 100
% 100% 100% |
ตารางที่ 2 Chi -Square Tests
|
Value |
df |
Asymp Sig ( 2-sided ) |
Pearson
Chi-Square Likelihood
Ratio Linear – by – Linear Association N
of Vaild
Cases |
27.565a 29.612 12.104 1425 |
9 9 1 |
.001 .001 .001 |
a. 0 cells ( 0% ) have expected count less than 5. The minimum expected count is 11.37
ความหมายของผลลัพธ์ในตารางที่ 1
|
แสดง
label ของตัวแปรทางด้าน row คือ school ซึ่งแบ่งเป็น 4ประเภท คือ 1 2 3 และ 4 |
|
แสดง
label ของตัวแปรทางด้าน column คือ status ซึ่งแบ่งเป็น 4 ประเภท คือ 1 (คู่) 2 (หม้าย) 3 (หย่า) และ4 (แยก) |
|
แสดงจำนวน
และเปอร์เซ็นต์ของสถานภาพสมรสคู่ ดังนี้ - ผู้ปกครองมีสถานภาพสมรสคู่ 306 คน ( Observed) - มีผู้ปกครองของนักเรียนที่เรียนอยู่ในโรงเรียน
ประเภท1 มีสถานภาพสมรสคู่ 95.3 % ของจำนวนนักเรียนที่เรียนอยู่ในโรงเรียนประเภท
1 ทั้งหมด ( 306/321 :Row Percent ) - มีผู้ปกครองของนักเรียนที่เรียนอยู่ในโรงเรียน
ประเภท1 มีสถานภาพสมรสคู่ 24.3 % ของผู้ปกครองที่มีสถานภาพสมรสคู่ทั้งหมด
( 306/1260 %:column percent ) - มีผู้ปกครองของนักเรียนที่เรียนอยู่ในโรงเรียน
ประเภท1 มีสถานภาพสมรสคู่ 21.5 % ของตัวอย่างทั้งหมด (
306/1425 : Total percent ) - ใน cell อื่น ๆ
ก็มีความหมายในลักษณะเดียวกัน |
|
แสดงความถี่และเปอร์เซ็นต์รวมของแต่ละสถานภาพสมรส เช่น -
มีผู้ปกครองมีสถานภาพสมรสคู่ 1260
ครอบครัว จากตัวอย่างทั้งหมด 1425 ครอบครัว หรือคิดเป็น 84.1 % ของตัวอย่างทั้งหมด -
มีผู้ปกครองมีสถานภาพสมรสหย่า 55 ครอบครัว จากตัวอย่างทั้งหมด 1425 ครอบครัว หรือคิดเป็น3.9
% ของตัวอย่างทั้งหมด |
|
แสดงความถี่และเปอร์เซ็นต์รวมของแต่ละเพศ เช่น - มีนักเรียนจากโรงเรียนประเภท
1 321 คน จากตัวอย่างทั้งหมด 1425 คน หรือคิดเป็น 22.5 % ของตัวอย่างทั้งหมด - มีนักเรียนจากโรงเรียนประเภท
2 489 คน จากตัวอย่างทั้งหมด 1425 คน หรือคิดเป็น 34.3 % ของตัวอย่างทั้งหมด |
ความหมายของผลลัพธ์ในตารางที่ 2
|
H0 : ประเภทของโรงเรียน และสถานภาพสมรสของผู้ปกครองเป็นอิสระกัน H1 : ประเภทของโรงเรียน และสถานภาพสมรสของผู้ปกครองมีความสัมพันธ์กัน กำหนดระดับนั้นสำคัญ
= .05 สถิติทดสอบ Pearson Chi - Square = 27.565
ที่องศาอิสระ 9 และ ได้ค่า Significance ของการทดสอบ = .001 ซึ่งน้อยกว่ากว่าระดับนัยสำคัญที่กำหนด (
.05 ) จึงปฏิเสธ H0
นั้นคือประเภทของโรงเรียน และสถานภาพสมรสของผู้ปกครองมีความสัมพันธ์กัน |
|
สถิติทดสอบ
Likelihood Ratio Chi-Square =29.612 องศาอิสระ = 9 Singnificance = .001 จึงสรุปว่าประเภทของโรงเรียน
และสถานภาพสมรสของผู้ปกครองมีความสัมพันธ์กัน |
|
สถิติทดสอบ
Linear - by - Lienar Association Chi-Square ที่ใช้ทดสอบสมมติฐาน H0 : ประเภทของโรงเรียน
และสถานภาพสมรสของผู้ปกครองไม่มีความสัมพันธ์กันในรูปเชิงเส้น H1 : ประเภทของโรงเรียน
และสถานภาพสมรสของผู้ปกครองมีความสัมพันธ์กันในรูปเชิงเส้น ได้ค่าสถิติทดสอบ
=.12.104 ที่องศาอิสระ = 1และค่า Significance = .001 จึงสรุปได้ว่าประเภทของโรงเรียน
และสถานภาพสมรสของผู้ปกครองมีความสัมพันธ์กันในรูปเชิงเส้น |
|
ระบุจำนวน
cell ที่มีความถี่ที่คาดไว้
< 5
ในที่นี้ไม่มีcell ที่มีความถี่ที่คาดไว้ต่ำกว่า5 เลย ความถี่ที่ต่ำสุดใน cell =11.37 |
1.
ทางฝ่ายการศึกษาของสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งต้องการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างเพศของอาจารย์กับสถานศึกษาที่อาจารย์จบ
ที่ระดับนัยสำคัญ .05
จึงสุ่มอาจารย์ในสถาบันมา 84 คน
แยกตามเพศและสถานศึกษาที่อาจารย์จบ ดังนี้
เพศ |
สถานศึกษาที่อาจารย์จบ |
||
ในประเทศ |
ต่างประเทศ |
ทั้งในและต่างประเทศ |
|
ชาย |
12 |
6 |
13 |
หญิง |
19 |
16 |
18 |
2.
บริษัทขายคอมพิวเตอร์แห่งหนึ่งได้เก็บข้อมูลของลูกค้าในปีที่ผ่านมา
ดังนี้
บริษัทเอกชน
69 % รัฐบาล 21
% ฝ่ายการศึกษา 7 % บ้านอยู่อาศัย 3 %
ทางบริษัทต้องการตรวจสอบว่าลักษณะของลูกค้าในปีนี้เหมือนปีที่ผ่านมาหรือไม่
จึงสุ่มจากลูกค้า
มา 50 ราย พบว่า เป็นบริษัทเอกชน 20 ราย รัฐบาล 12 ราย ฝ่ายการศึกษา 12 ราย บ้านอยู่อาศัย 4
ราย
จงทดสอบที่ระดับนัยสำคัญ .10
3.
ผู้สมัครเป็นนายกสโมสรของนิสิตในสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง
มี 5 คน คือหมายเลข 1
– 5 ถ้าผู้สมัครต้องการทราบว่าสัดส่วนของนิสิตที่มีสิทธิ์เลือกตั้งจะเลือกนายกสโมสรแต่ละคนเท่ากันหรือไม่
ก่อนการเลือกตั้งจึงสุ่มนิสิตที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง จำนวน 30
คน สอบถามว่าจะเลือกหมายเลขใด ได้ข้อมูล ดังนี้
ผู้สมัครหมายเลข
|
จำนวนผู้เลือก |
1 2 3 4 5 |
3 9 6 5 7 |
จงทดสอบที่ระดับนัยสำคัญ .01
4.
นักจิตวิทยาเชื่อว่าลูกชายมักจะมีอาชีพเดียวกับพ่อ
จึงสุ่มลูกชายมา 60
คน สอบถามอาชีพของเขาและอาชีพของพ่อ ได้ข้อมูล ดังนี้
อาชีพพ่อ
|
อาชีพลูกชาย |
||
นักธุรกิจ |
ข้าราชการ/วิสาหกิจ |
เกษตรกร |
|
นักธุรกิจ ข้าราชการ/วิสาหกิจ เกษตรกร |
5 8 6 |
8 7 5 |
6 5 10 |
จงทดสอบความเชื่อของนักจิตวิทยา
ที่ระดับนัยสำคัญ .05