บทที่6
การกำหนดกลุ่มตัวอย่าง
การกำหนดกลุ่มตัวอย่างมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งนี้เนื่องจากการเก็บข้อมูลกับประชากรทุกหน่วยอาจทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายที่สูงมากและบางครั้งเป็นเรื่องที่ต้องตัดสินใจภายในเวลาจำกัด การเลือกศึกษาเฉพาะบางส่วนของประชากรจึงเป็นเรื่องที่มีความจำเป็น เพื่อให้มีความเข้าใจในการเลือกตัวอย่าง
จะขอนำเสนอความหมายของคำที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
ประชากร (Population) หมายถึง
สมาชิกทุกหน่วยของสิ่งที่สนใจศึกษา ซึ่งไม่ได้หมายถึงคนเพียงอย่างเดียว
ประชากรอาจจะเป็นสิ่งของ เวลา สถานที่
9ล9 เช่นถ้าสนใจว่าความคิดเห็นของคนไทยที่มีต่อการเลือกตั้ง
ประชากร คือคนไทยทุกคน หรือถ้าสนใจอายุการใช้งานของเครื่องคอมพิวเตอร์ยี่ห้อหนึ่ง
ประชากรคือเครื่องคอมพิวเตอร์ยี่ห้อนั้นทุกเครื่อง แต่การเก็บข้อมูลกับประชากรทุกหน่วยอาจทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายที่สูงมากและบางครั้งเป็นเรื่องที่ต้องตัดสินใจภายในเวลาจำกัด
การเลือกศึกษาเฉพาะบางส่วนของประชากรจึงเป็นเรื่องที่มีความจำเป็น
เรียกว่ากลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่าง (Sample) หมายถึง
ส่วนหนึ่งของประชากรที่นำมาศึกษาซึ่งเป็นตัวแทนของประชากร การที่กลุ่มตัวอย่างจะเป็นตัวแทนที่ดีของประชากรเพื่อการอ้างอิงไปยังประชากรอย่างน่าเชื่อถือได้นั้น
จะต้องมีการเลือกตัวอย่างและขนาดตัวอย่างที่เหมาะสม
ซึ่งจะต้องอาศัยสถิติเข้ามาช่วยในการสุ่มตัวอย่างและการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง
การสุ่มตัวอย่าง (Sampling) หมายถึง กระบวนการได้มาซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่มีความเป็นตัวแทนที่ดีของประชากร
วิธีการสุ่มตัวอย่างแบ่งเป็น
2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. การสุ่มตัวอย่างโดยไม่ใช้ความน่าจะเป็น
(
Nonprobability sampling )
เป็นการเลือกตัวอย่างโดยไม่คำนึงว่าตัวอย่างแต่ละหน่วยมีโอกาสถูกเลือกมากน้อยเท่าไร
ทำให้ไม่ทราบความน่าจะเป็นที่แต่ละหน่วยในประชากรจะถูกเลือก
การเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบนี้ไม่สามารถนำผลที่ได้อ้างอิงไปยังประชากรได้
แต่มีความสะดวกและประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายมากกว่า ซึ่งสามารถทำได้หลายแบบ ดังนี้
1.1 การเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ
(Accidental
sampling) เป็นการเลือกกลุ่มตัวอย่าง
เพื่อให้ได้จำนวนตามต้องการโดยไม่มีหลักเกณฑ์
กลุ่มตัวอย่างจะเป็นใครก็ได้ที่สามารถให้ข้อมูลได้
1.2 การเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบโควต้า ( Quota sampling ) เป็นการเลือกกลุ่มตัวอย่างโดย
คำนึงถึงสัดส่วนองค์ประกอบของประชากร
เช่นเมื่อต้องการกลุ่มตัวอย่าง 100
คน ก็แบ่งเป็นเพศชาย 50
คน หญิง 50 คน
แล้วก็เลือกแบบบังเอิญ คือเจอใครก็เลือกจนครบตามจำนวนที่ต้องการ
1.3
การเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง
( Purposive
sampling ) เป็นการเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยพิจารณาจากการตัดสินใจของผู้วิจัยเอง
ลักษณะของกลุ่มที่เลือกเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย
การเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงต้องอาศัยความรอบรู้
ความชำนาญและประสบการณ์ในเรื่องนั้นๆของผู้ทำวิจัย
การเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า Judgement sampling
2. การสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็น
( Probability sampling )
เป็นการสุ่มตัวอย่างโดยสามารถกำหนดโอกาสที่หน่วยตัวอย่างแต่ละหน่วยถูกเลือก ทำให้ทราบความน่าจะเป็นที่แต่ละหน่วยในประชากรจะถูกเลือก
การเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบนี้สามารถนำผลที่ได้อ้างอิงไปยังประชากรได้ สามารถทำได้หลายแบบ ดังนี้
2.1 การสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple random
sampling)
เป็นการสุ่มตัวอย่างโดยถือว่าทุกๆหน่วยหรือทุกๆสมาชิกในประชากรมีโอกาสจะถูกเลือกเท่าๆกัน
การสุ่มวิธีนี้จะต้องมีรายชื่อประชากรทั้งหมดและมีการให้เลขกำกับ
วิธีการอาจใช้วิธีการจับสลากโดยทำรายชื่อประชากรทั้งหมด
หรือใช้ตารางเลขสุ่มโดยมีเลขกำกับหน่วยรายชื่อทั้งหมดของประชากร
2.2
การสุ่มตัวอย่างแบบเป็นระบบ ( Systematic sampling) เป็นการสุ่มตัวอย่างโดยมีรายชื่อของทุกหน่วยประชากรมาเรียงเป็นระบบตามบัญชีเรียกชื่อ
การสุ่มจะแบ่งประชากรออกเป็นช่วงๆที่เท่ากันอาจใช้ช่วงจากสัดส่วนของขนาดกลุ่มตัวอย่างและประชากร
แล้วสุ่มประชากรหน่วยแรก ส่วนหน่วยต่อๆไปนับจากช่วงสัดส่วนที่คำนวณไว้
2.3
การสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ (Stratified sampling) เป็นการสุ่มตัวอย่างโดยแยกประชากรออกเป็นกลุ่มประชากรย่อยๆ
หรือแบ่งเป็นชั้นภูมิก่อน โดยหน่วยประชากรในแต่ละชั้นภูมิจะมีลักษณะเหมือนกัน (homogenious) แล้วสุ่มอย่างง่ายเพื่อให้ได้จำนวนกลุ่มตัวอย่างตามสัดส่วนของขนาดกลุ่มตัวอย่างและกลุ่มประชากร
2.4
การสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster sampling ) เป็นการสุ่มตัวอย่างโดยแบ่งประชากร
ออกตามพื้นที่โดยไม่จำเป็นต้องทำบัญชีรายชื่อของประชากร
และสุ่มตัวอย่างประชากรจากพื้นที่ดังกล่าวตามจำนวนที่ต้องการ
แล้วศึกษาทุกหน่วยประชากรในกลุ่มพื้นที่นั้นๆ
หรือจะทำการสุ่มต่อเป็นลำดับขั้นมากกว่า 1 ระดับ โดยอาจแบ่งพื้นที่จากภาค เป็นจังหวัด จาก
จังหวัดเป็นอำเภอ และเรื่อยไปจนถึงหมู่บ้าน
นอกจากนี้การสุ่มตัวอย่างยังสามารถเลือกสุ่มตัวอย่างผสมระหว่างแบบง่ายแบบชั้นภูมิและแบบกลุ่มด้วยก็ได้
ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง
ขนาดของกลุ่มตัวอย่างมีความสำคัญอย่างมาในการวิจัยเมื่อกลุ่มตัวอย่างมีความเหมาะสมข้อมูลที่ได้จากกลุ่มตัวอย่างมีมากพอก็จะทำให้ผลงานวิจัยนั้นมีคุณค่า
ขนาดของกลุ่มตัวอย่างเท่าไรจึงจะเหมาะสมกับการวิจัยขึ้นอยู่กับการวิจัยว่าจะยอมให้เกิดความคลาดเคลื่อนมากน้อยเพียงใด
จึงจะยอมรับได้ การหาขนาดตัวอย่างสามารถคำนวณได้จากสูตร ในกรณีต่างๆ ได้ดังนี้
1. การประมาณค่าเฉลี่ยเลขคณิตของประชากร
ยอมให้เกิดความคลาดเคลื่อน e หน่วย ที่
ระดับความเชื่อมั่น
(1- µ)%
1.1 ในกรณีที่ประชากรมีจำนวนไม่แน่นอน (Infinite population)
จาก
Z = X - m
sx
sx
= s/
Ö n
ทำให้ได้
n = Z2 s2
(X
- m)2
ดังนั้น
n
Z2 s2
e2
e คือความคลาดเคลื่อนที่ยอมให้เกิดขึ้นหรือความแตกต่างระหว่าง
X
- m
ตัวอย่าง สำนักงานสถิติแห่งชาติ
ประกาศว่าโดยเฉลี่ยแล้วค่าใช้จ่ายต่อเดือนของครอบครัวขนาดกลางมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ
1,200 บาท
ถ้าต้องการประมาณค่าใช้จ่ายของครอบครัวขนาดกลาง
โดยยอมให้แตกต่างจากค่าใช้จ่ายที่แท้จริง 50 บาทที่ระดับความเชื่อมั่น 95 % จะต้องเลือกตัวอย่างครอบครัวขนาดกลางมากี่ครอบครัว
s = 1,200
e = 50 Z = 1.96
n
=
Z2
s2
e2
ขนาดตัวอย่าง(n) = (1.96)2 (1200) 2
502
= 2212.76
จะต้องเลือกตัวอย่างครอบครัวมา 2213 ครอบครัว
1.2
ในกรณีที่ประชากรมีจำนวนแน่นอน (Finite population) Yamane ( 1973)
ได้คิดสูตรที่ใช้ในการคำนวณขนาดของกลุ่มตัวอย่าง
คือ
n
=
N
1+Ne2
e คือความคลาดเคลื่อนที่ยอมให้เกิดขึ้นในรูปของสัดส่วน
ตัวอย่าง ถ้าประชากรที่ศึกษามี 1,800 คน
และต้องการให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการสุ่มตัวอย่างร้อยละ 5 ขนาดของกลุ่มตัวอย่างควรเป็นเท่าไร
ที่ใช้ในการคำนวณขนาดของกลุ่มตัวอย่าง
คือ n =
N
1+Ne2
=
1,800
= 327
1+1,800(.05)
2
จะต้องเลือกตัวอย่าง 327 คน
2.
การประมาณค่าสัดส่วนของประชากร(p) ยอมให้เกิดความคลาดเคลื่อน
e % ที่
ระดับความเชื่อมั่น
(1- µ)%
2.1 ในกรณีที่ทราบค่า p
จาก
Z = P - p
sp
sp
= p ( 1- p)
n
ดังนั้น
n
= Z2
p ( 1- p)
e2
ตัวอย่าง ถ้าต้องการประมาณค่าสัดส่วนของคนกทม.ที่มีบ้านเป็นของตนเองในปีนี้ให้ผิดพลาดไม่เกิน
3 % ด้วยระดับความเชื่อมั่น 90 % ควรสุ่มตัวอย่างคนในกทม.มากี่คน
ถ้าทราบว่าเปอร์เซ็นต์ของคนที่มีบ้านเป็นของตนเองเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เท่ากับ 60%
p = .60 1-
p
= 1-0.6 = 0.4
e = 0.03
Z = 1.645 (ที่ระดับความเชื่อมั่นเท่ากับ 90 %)
n = Z2 p ( 1- p)
e2
= (1.645)2 .60
(0.4)
= 721.6
(0.03) 2
ดังนั้นควรสุ่มตัวอย่างคนในกทม.
= 721 คน
ในกรณีที่ไม่ทราบค่า
p
Yamane ได้หาค่า
p ( 1- p) ดังนี้
p ( 1- p)จะมีค่ามากที่สุดเมื่อ p = ½ คือp ( 1- p) = 1/4
ดังนั้น
n
= Z2
4 e2
ตัวอย่าง
ในการสำรวจความคิดเห็นของนิสิตคณะครุศาสตร์ที่มีต่อวิชาชีพครู
ถ้าต้องการให้เกิดความผิดพลาด 2% ที่ระดับความเชื่อมั่น 90% ควรสอบถามนิสิตคณะครุศาสตร์กี่คน
e = 0.02
Z
= 1.645
n
= Z2
4
e2
= (1.645) 2 = 1691.265
4 (0.02) 2
จะต้องสอบถามจากนิสิต
1691
คน
ในปัจจุบัน นักวิชาการได้พยายามช่วยผู้วิจัยโดยทำตารางสำเร็จรูปในการประมาณจำนวนกลุ่มตัวอย่าง ผู้วิจัยสามารถประมาณจำนวนกลุ่มตัวอย่างได้จากตารางทันที โดยไม่ต้องใช้สูตรในการคำนวณ ดังตารางการสุ่มตัวอย่างในตารางที่ ก.1 และก.2 (ศิริชัย กาญจนวาสี และคณะ,2535)
กัลยา วานิชย์บัญชา. 2542.การวิเคราะห์สถิติ :
สถิติเพื่อการตัดสินใจ. พิมพ์ครั้งที่ 4.
กรุงเทพฯ :
โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์วิทยาลัย.
นงนุช ภัทราคร. 2538. สถิติการศึกษา. กรุงเทพ ฯ : สุวีริยาสาสน์.
บุญธรรม
กิจปรีดาบริสุทธิ์. 2540.ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์.พิมพ์ครั้งที่7. กรุงเทพฯ :โรง
พิมพ์และปกเจริญผล.
ศิริชัย กาญจนวาสี, ดิเรก
ศรีสุโข และทวีวัฒน์ ปิตยานนท์. 2535.การเลือกใช้สถิติที่เหมาะสมสำหรับ
การวิจัยทางสังคมศาสตร์. กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
Cohen ,L.,and Manion,L. 1989. Research Method in Education.3rd.Ed.London:Routledge.