นันทนจิต (LEISURE): คำไทยคำใหม่
                           ประพัฒน์ ลักษณพิสุทธิ์

ความนำ
หลังจากที่ได้มีการจัดตั้งสำนักวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬาขึ้นมา เมื่อปี พ.ศ. 2541 ผู้เขียนได้หันมาให้ความสนใจกลุ่มวิชา นันทนาการศาสตร์ ทำให้ต้องสนใจและคิดถึงคำ ๒ คำ ในภาษาอังกฤษ คือ คำว่า Recreation และ Leisure สำหรับคำแรก เมื่อเอ่ยถึงก็จะรู้ว่าหมายถึงคำว่า “นันทนาการ” ที่แต่ก่อน ใช้คำว่า “สันทนาการ” (ปัจจุบันก็ยังมีใช้อยู่ในชื่อของสมาคมสุขศึกษาพลศึกษาและสันทนาการ แห่งประเทศไทย) ส่วนคำหลัง เมื่อเอ่ยถึงก็เป็นที่เข้าใจกันว่าหมายถึง “เวลาว่าง” ซึ่งจากการที่ได้ศึกษาค้นคว้าจากหนังสือ ตำรา เอกสารทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ และข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ รวมทั้งจากการที่ได้ไปศึกษาดูงาน ณ สำนักวิชาสุขศึกษาพลศึกษาและนันทนาการ มหาวิทยาลัยอินเดียนา เมืองบลูมมิงตัน รัฐอินเดียนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างเดือนสิงหาคมถึงธันวาคม 2546 ทำให้รู้สึกว่าคำไทยดังกล่าวน่าจะเป็นการทำให้คำคำนี้มีความหมายแคบไป หรือทำให้คำคำนี้มีความหมาย ที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ตรงตามความหมายที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำคำนี้ถือเป็นคำสำคัญในหลักสูตรหรือในตำราภาษาต่างประเทศ ดังนั้น วัตถุประสงค์สำคัญของการเขียนบทความเรื่องนี้ ก็เพื่อที่จะได้เสนอคำว่า “นันทนจิต” ให้เป็นคำไทยคำใหม่สำหรับคำว่า Leisure และเพื่อที่จะได้เสนอความหมายและความคิดรวบยอดเกี่ยวกับคำคำนี้ให้เป็นที่เข้าใจ อันจะเป็นแนวทางสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาวิชาการด้านนันทนาการศาสตร์ให้เป็นที่เข้าใจกันอย่างแพร่หลายและลึกซึ้งยิ่งขึ้น และเพื่อเป็นแนวทางสำหรับการนำวิชาการด้านนี้ไปใช้ในการพัฒนาประชากรของชาติให้เจริญก้าวหน้าเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติในโอกาสต่อไป

ก่อน “นันทนจิต” ทำไมต้อง “นันทนาการศาสตร์”
ดังที่ได้กล่าวแต่ต้นว่า สำนักวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา ซึ่งได้ถือกำเนิดและพัฒนาการมาจากภาควิชาพลศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งถือว่าเป็นสถาบันแห่งแรกของประเทศไทยที่ได้มีการบุกเบิกการศึกษาชั้นสูงด้านวิชาพลศึกษาตั้งแต่ระดับปริญญาบัณฑิต (พ.ศ. 2502) ปริญญามหาบัณฑิต (พ.ศ. 2511) จนถึงระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิต (พ.ศ. 2530) มีบัณฑิตออกไปสร้างชื่อเสียงทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศเป็นจำนวนมาก สำนักวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬาเมื่อเริ่มก่อตั้งได้กำหนดกลุ่มวิชาไว้เป็นจำนวน 8 กลุ่มวิชา ได้แก่ สรีรวิทยาการกีฬา เวชศาสตร์การกีฬา จิตวิทยาการกีฬา วิทยาศาสตร์สุขภาพประยุกต์ วิทยวิธีการกีฬา นันทนาการศาสตร์ การจัดการกีฬา และเทคโนโลยีทางการกีฬา ในปีเริ่มต้น พ.ศ. ๒๕๔๑ สำนักวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา ได้ทำการสอนและวิจัยในศาสตร์ ที่รับผิดชอบโดยการเปิดสอนหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬาเพียง ๔ กลุ่มวิชา ได้แก่ กลุ่มวิชาสรีรวิทยาการกีฬา กลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพประยุกต์ กลุ่มวิชาวิทยวิธีการกีฬา และกลุ่มวิชานันทนาการศาสตร์ ในปีการศึกษา ๒๕๔๒ ได้เปิดสอนเพิ่มอีก ๒ กลุ่มวิชา คือ กลุ่มวิชาเวชศาสตร์การกีฬาและการจัดการกีฬา และจะเปิดสอนให้ครบทั้ง ๘ กลุ่มวิชาในอนาคต แต่จากการปรับปรุงหลักสูตรนี้เมื่อปี พ.ศ. 2546 ปรากฏว่าได้มีการรวมกลุ่มวิชาต่าง ๆ ให้เหลือเพียง 4 กลุ่มวิชา ได้แก่ กลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา กลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพประยุกต์ กลุ่มวิชาการโค้ชกีฬาและจิตวิทยาการกีฬา และกลุ่มวิชานันทนาการศาสตร์และการจัดการ การกีฬา และเปิดรับนักเรียนที่เรียนในสายวิทยาศาสตร์และสายศิลป์เป็นปีแรกในปีการศึกษา 2547
คงมีหลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมต้องเป็น “นันทนาการศาสตร์” และ “นันทนาการศาสตร์” เป็นกลุ่มวิชาหนึ่งในหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬาได้อย่างไร ทำไมไม่เป็นนันทนาการการกีฬา หรือกีฬานันทนาการ เหมือนกลุ่มวิชาอื่น ๆ ที่มีคำว่า “กีฬา” อยู่ต่อท้ายชื่อกลุ่มวิชา (ยกเว้น กลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ) เพราะเป็นกลุ่มวิชาที่อยู่ในสำนักวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬาที่มีคำว่า “กีฬา” อยู่ในชื่อของสำนักวิชา (คำว่า “สำนักวิชา” หรือภาษาอังกฤษใช้คำว่า “School” เป็นการแบ่งและเรียกชื่อหน่วยงานภายในของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามพระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2522 โดย ศาสตราจารย์ ดร. เทียนฉาย กีระนันทน์ อธิการบดีในขณะนั้น สำนักวิชาฯ มีฐานะเทียบเท่ากับคณะ อื่น ๆ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สามารถผลิตบัณฑิตได้ตั้งแต่ระดับปริญญาบัณฑิต จนถึงระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิต เพียงแต่ไม่มีภาควิชาเท่านั้น) จากการสอบถามอดีตรองคณบดีฝ่ายวิชาการและวิจัย (รองศาสตราจารย์ ดร. ถนอมวงศ์ กฤษณ์เพ็ชร์) ของสำนักวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬาหลายสมัย ทำให้ทราบความเป็นมาเป็นไปของการมีกลุ่มวิชานันทนาการศาสตร์อยู่ในหลักสูตร [ทั้งหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา พ.ศ. 2541 และหลักสูตรปัจจุบัน คือหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2546)] พอสรุปได้ว่า เนื่องจาก สำนักวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬาได้รับการพัฒนาขึ้นมาจากภาควิชาพลศึกษา คณะ ครุศาสตร์ ที่ประกอบไปด้วยโปรแกรมวิชาพลศึกษา โปรแกรมวิชาสุขศึกษา และโปรแกรมวิชานันทนาการ เมื่อได้รับการพัฒนาแล้วก็ควรจะมีสาขาวิชาของทั้งสามโปรแกรมอยู่ด้วย โดยโปรแกรมวิชาพลศึกษาก็เป็นกลุ่มวิชาวิทยวิธีการกีฬา โปรแกรมวิชาสุขศึกษาก็เป็นกลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพประยุกต์ และโปรแกรมวิชานันทนาการก็เป็นกลุ่มวิชานันทนาการศาสตร์ (มีคำว่า “ศาสตร์” มาต่อ ข้างท้ายคำว่า “นันทนาการ” เพราะสังกัดคณะที่เกี่ยวข้องกับ “วิทยาศาสตร์”-ผู้เขียน) แม้จะไม่มีคำว่า “การกีฬา” แต่ “นันทนาการ” ก็เป็นศาสตร์ที่สำคัญสำหรับการส่งเสริมและพัฒนาการแสดงความสามารถของนักกีฬาให้ถึงจุดสูงสุด (Peak Performance) ได้เช่นกัน หากได้นำสาระสำคัญ (Essences) ของศาสตร์ด้านนันทนาการมาใช้อย่างถูกต้อง นอกจากนั้น ตัวอย่างปัญหา เช่น การเลิกเล่นกีฬากลางคันของนักกีฬาที่มีความสามารถสูงบางคน ที่เรียกกันว่า เบอร์น เอาท์ (Burn Out) ทำให้เป็นนักกีฬาที่ขาดความกระฉับกระเฉง มีความสามารถลดลงเหมือนไฟที่มอดดับ ไม่สามารถเล่นกีฬานั้น ๆ ได้อีกต่อไป นับเป็นปัญหาประการหนึ่งที่ทำความหนักใจให้กับผู้บริหารสมาคมกีฬาของชาติ ตัวนักกีฬาเองและผู้เกี่ยวข้อง ปัญหาดังกล่าวอาจเกิดขึ้นขณะที่กำลังเป็นนักกีฬาที่สามารถสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศชาติและสมาคม อาจจะเริ่มต้นจากปัญหาเล็ก ๆ ที่ไม่สามารถสังเกตเห็นได้ จนมีอาการกำเริบรุนแรง เมื่อแสดงออกหรือปรากฏอาการขึ้นก็สายไปเสียแล้ว ซึ่งจากปัญหาที่กล่าว หากได้มีการพูดคุยกับนักกีฬา ซักถามทุกข์สุขกันอาจทำให้ทราบปัญหา จะได้หาทางป้องกันและแก้ไข ซึ่งนันทนาการศาสตร์ก็มีศาสตร์ที่เกี่ยวกับการบำบัดที่เรียกว่า “นันทนาการบำบัด” (Therapeutic Recreation) ที่จะนำมาใช้ในการบำบัดรักษา อีกทั้ง นักกีฬาที่เบอร์น เอาท์ ไปแล้ว ก็อาจมีปัญหานั้น ๆ ติดตัวไปด้วย นับเป็นความทุกข์ใจที่ควรได้รับการแก้ไขเป็นอย่างยิ่ง ก็สามารถนำนันทนาการบำบัด มาใช้ในการบำบัดรักษาได้ ทำให้การผลิตบัณฑิตวิทยาศาสตร์การกีฬาทำได้ครบวงจรสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น อีกประการหนึ่ง กีฬาซึ่งถือเป็นกิจกรรมนันทนาการที่มีความจำเป็นและมีคุณค่าและประโยชน์อย่างมากมายสำหรับการสร้างความพึงพอใจ การพัฒนาอารมณ์สุข ลดความเครียด เป็นต้น จำเป็นต้องมีการบริหารจัดการที่ดี ดังที่ภาควิชาการจัดบริหารพื้นที่สำหรับนันทนาการและนันทนาการ (Department of Recreation and Park Administration) สำนักวิชาสุขศึกษาพลศึกษาและนันทนาการ มหาวิทยาลัยอินเดียนา ณ เมืองบลูมมิงตัน ได้จัดให้มีหลักสูตรการจัดการกีฬานันทนาการ (Recreational Sports Management) ระดับบัณฑิตศึกษาขึ้น แสดงว่ากิจกรรมของนันทนาการจำเป็นต้องมีศาสตร์ที่มีปรัชญา หลักการและการปฏิบัติ (Philosophies, Principles and Practices) หรือพูดง่าย ๆ ว่ามี “ศาสตร์” ที่ต้องนำมาใช้ในการจัดการ ต้องมีการศึกษาค้นคว้าวิเคราะห์สังเคราะห์และวิจัย และสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้เช่นเดียวกับ กลุ่มวิชาการจัดการการกีฬาที่สำนักวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา จัดให้มีการเรียนการสอนอยู่ ทำให้สำนักวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬาเป็นสถาบันการศึกษาแห่งแรกและมีความภาคภูมิใจที่เรียก “นันทนาการ” ว่า “นันทนาการศาสตร์” (Recreation Sciences) และกำหนดให้กลุ่มวิชา “นันทนาการศาสตร์” เป็นกลุ่มวิชาหนึ่งในหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา ดังกล่าว

ทำไมต้อง “นันทนจิต”
ผู้เขียนได้พยายามคิดวิเคราะห์สาระของคำจากทฤษฎี ปรัชญาและหลักการที่เกี่ยวข้อง ความคิดก็มาสะดุดอยู่ที่คำในภาษาอังกฤษที่เป็นแนวคิดของคำคำไทยคำใหม่นี้ในแง่หนึ่ง นั่นคือ State of Mind หรือภาวะของจิต ที่คิดว่าน่าจะเป็นสาระของคำไทยที่เหมาะที่สุด ก็เลยสรุปว่าน่าจะเป็นคำไทยคำนี้สำหรับคำภาษาอังกฤษ Leisure คือคำว่า นันทนจิต เนื่องจากเรามีคำว่า “นันทนาการ” ที่มีคำว่า “นันทน” ซึ่งมีความหมายเดียวกันกับคำว่า “นันทน” ใน “นันทนจิต” อยู่แล้ว ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมต้องเป็นคำนี้ ผู้เขียนก็จะพยายามกล่าวถึงเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการวิพากษ์ของผู้ที่เกี่ยวข้องกับวงวิชาการด้านนันทนาการศาสตร์กันต่อไป ประเด็นสำคัญต่อมาก็คือ ผู้เขียนมีความคิดเห็นว่าเราน่าจะต้องมาทำความเข้าใจกับคำว่า “นันทนาการ” และ “นันทนจิต” กันอีกมาก เพราะความเข้าใจของคนส่วนมากเมื่อกล่าวถึงคำคำนี้ก็มักจะมองภาพว่าเป็นการให้ผู้ที่มาอยู่ร่วมกันได้เล่นเกมหรือร้องเพลงหรือมีกิจกรรมที่สร้างความสนุกสนานครึกครื้นเฮฮาในเวลาว่าง หรือมีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับคำว่า “นันทนาการ” ว่าเป็นกิจกรรมที่สร้างความสนุกสนาน เป็นงานอดิเรก ที่มีกิจกรรมอยู่ประมาณสิบกลุ่มกว่าหรือขึ้นอยู่กับแนวความคิดของแต่ละคนว่าจะเป็นกี่กลุ่มกิจกรรม รวมทั้ง อีกหลายคนที่ผู้เขียนได้เคยพูดคุยด้วยมักจะกล่าวว่า “ไม่เห็นมีอะไร” เป็นต้น ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ผู้เขียนคิดว่าน่าจะต้องมีการทำความเข้าใจกันให้ถ่องแท้และถูกต้อง และผู้เขียนถือเป็นโอกาสดีในการเสนอคำไทยคำใหม่เพื่อใช้ใน วงวิชานันทนาการศาสตร์กันต่อไปด้วย

นันทนจิต ต่างกันหรือเหมือนกันกับ นันทนาการ หรือไม่ อย่างไร
ในภาษาต่างประเทศมีการใช้คำสองคำนี้สลับหรือใช้แทนกันบ่อย ๆ คำว่า นันทนจิต หรือ Leisure นี้ พจนานุกรมออนไลน์ของ MSN Encarta-Dictionary กล่าวว่า เป็นคำนาม แปลว่า เวลาว่างจากการทำงาน สามารถเข้าร่วมกิจกรรมที่สร้างความสนุกสนานได้ เป็นคำที่มีการใช้มาตั้งแต่ศตวรรษ ที่ 13 เป็นคำในภาษาท้องถิ่นของฝรั่งเศส (Via Old French dialect) คือคำว่า leisour ที่แปลว่า การอนุญาตยินยอม หรือถ้าแปลตามตัวอักษรก็แปลว่า “ได้รับอนุญาต” เป็นคำที่ผันแปรมาจากคำว่า leisi ซึ่งเป็นคำในภาษาลาตินว่า licere ซึ่งเกี่ยวกับความเป็นมาและความหมายของคำนี้ ผู้เขียนจะได้กล่าวให้ละเอียดยิ่งขึ้นในตอนต่อไป เพราะเป็นประเด็นหลักที่ผู้เขียนต้องการจะเสนอในการเขียนบทความครั้งนี้
ส่วนคำว่า นันทนาการ หรือ Recreation ซึ่งเป็นคำนามเช่นกัน เพิ่งมีใช้ในศตวรรษที่ 14 แปลว่า กิจกรรมที่บุคคลเข้าร่วมเพื่อการบันเทิงและการผ่อนคลาย หรือสิ่งที่ทำให้ใจและกายสดชื่นหลังจากการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากได้เข้าร่วมในกิจกรรมที่สร้างความสนุกสนานเพลิดเพลินใจ (Amusement) ดังนั้น จากคำแปลตามพจนานุกรมดังกล่าวจึงถือได้ว่า ความหมายที่คนส่วนใหญ่เข้าใจนั้นถูกต้องแล้ว และเพื่อเป็นการปูพื้นฐานสำหรับประเด็นที่ผู้เขียนต้องการเสนอ จึงใคร่ขอเสนอความหมายและแนวคิดของนันทนาการ เพื่อที่ท่านผู้อ่านจะได้ทบทวนถึงคำที่เราใช้กันมาก่อน
ความหมายและแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับนันทนาการ
นันทนาการเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยการเข้าร่วมในกิจกรรมที่มีรูปแบบ/ประเภทต่าง ๆ ที่มีอยู่อย่างมากมายและหลากหลาย ตามความต้องการความสนใจและสมัครใจ และในเวลาว่างหรือในเวลาอิสระ
ความหมายของนันทนาการนั้นมีผู้กล่าวถึงมากมายและแตกต่างกันไป ดังนี้
1. นันทนาการ หมายถึง การทำให้ร่างกายสดชื่น หรือการทำให้ร่างกายได้สร้างพลังขึ้นมาใหม่ (Re-fresh or Re-create) อันเป็นความหมายดั้งเดิม
2. นักการศึกษา และนักสังคมศาสตร์ให้ความหมายว่า “นันทนาการ” หมายถึง กิจกรรม (Activities) ซึ่งมีชนิดประเภทและรูปแบบกิจกรรมที่หลากหลาย
3. นันทนาการ หมายถึง กระบวนการ (Process) กล่าวคือ ในการพัฒนาประสบการณ์ หรือ
พัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลหรือสังคมโดยอาศัยนันทนาการต้องกระทำเป็นกระบวนการ ผลจากการเข้าร่วมในกระบวนการ เรียกว่า ประสบการณ์
4. นันทนาการ หมายถึง สวัสดิการสังคม (Social Welfare) ที่รัฐและผู้บริหารท้องถิ่นจะต้องมีหน้าที่จัดให้บริการแก่ชุมชน เพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดี
ความหมายของคำว่า นันทนาการที่คนส่วนมากรู้จักกันดี มีความเกี่ยวข้องกับกิจกรรม หรือการมีกิจกรรมเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของความหมาย ซึ่งโดยเนื้อแท้แล้ว นันทนาการมีความหมายมากกว่าการเป็นกิจกรรม เพราะนันทนาการช่วยทำให้เกิดการฟื้นคืนสู่สภาพเดิมของพลังร่างกายและจิตใจ ทำให้ร่างกายและจิตใจเกิดความสมดุล

ที่มาของคำ “นันทนจิต” แนวคิด ความหมายและคำที่เกี่ยวข้อง
นันทนจิต เป็นคำที่ผู้เขียนคิดขึ้นได้เมื่อครั้งไปเข้ารับการศึกษาอบรมเกี่ยวกับ “นันทนาการบำบัด” ที่มหาวิทยาลัยอินเดียนา บลูมมิงตัน รัฐอินเดียนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างเดือนสิงหาคมถึงธันวาคม 2546 เป็นคำมาจากคำในภาษาไทยว่า “นันทน์” อันเป็นคำที่เป็นทั้งคำในภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต และเป็นคำนาม มีคำแปลว่า ความสนุก ความยินดี ความรื่นเริง (พจนานุกรมฉบับเฉลิมพระเกียรติ พ.ศ. 2530, หน้า 272) มาสมาสกับคำว่า “จิต” ที่เป็นคำนาม มีคำแปลว่า ใจ สิ่งที่มีหน้าที่รู้ คิด และนึก (พจนานุกรมฉบับเฉลิมพระเกียรติ พ.ศ. 2530, หน้า 144) เมื่อนำคำแปลของคำทั้งสองมารวมกันน่าจะแปลว่า “ใจที่มีแต่ความสนุกสนานรื่นเริงยินดี”
ความหมายของนันทนจิต
ดังที่ได้เคยกล่าวถึงเกี่ยวกับคำว่า Leisure ที่ผู้ใช้คำนี้ส่วนใหญ่มักจะคิดกันถึงแต่ความหมายที่ว่า “เวลาว่าง” ยกเว้น นิสิตนักศึกษาในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ที่มีการผลิตบัณฑิตในสาขาวิชาพลศึกษา ซึ่งจะหมายรวมถึงบัณฑิตในสาขาวิชาสุขศึกษาและสาขาวิชานันทนาการ และนิสิตนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาที่เกี่ยวข้องกับนันทนาการ เช่น นันทนาการขั้นนำ ค่ายพักแรม การเป็นผู้นำนันทนาการ เป็นต้น รวมถึงผู้ที่มีความสนใจใฝ่รู้เท่านั้นที่ (บางคนอาจ) จะทราบถึงความหมายของคำว่า Leisure (ซึ่งผู้เขียนจะเขียนคำนี้เป็นภาษาไทยว่า นันทนจิต ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป) ที่ลึกซึ้งมากกว่าคำว่า “เวลาว่าง” และมากความหมายขึ้น
ในปี 1899 ธอร์สไตน์ เว็บเบล็น (Thorstein Veblen, 1953 อ้างถึงใน Kelly, 1996) ให้คำจำกัดความของคำ นันทนจิตว่าเป็นการใช้เวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
แม็ก คาแพลน (Max Kaplan, 1975) ได้ให้คำจำกัดความของคำนันทนจิต โดยแบ่งออกเป็น 6 ประเภท คาแพลนยอมรับว่าคำจำกัดความที่จะกล่าวไม่ได้เริ่มมาจากพื้นฐานที่จะนำไปสู่การสรุปเดียวกัน ตัวอย่างเช่น คำจำกัดความที่เกี่ยวข้องกับ Humanistic or Classic เริ่มต้นจากความคิดรวบยอดของ Humanity และต้องการอิสระจากสิ่งที่เป็นความจำเป็น ในแง่ของการบำบัด (Therapeutic Approach) มีสมมติฐานว่า คนบางคนมีสุขภาพด้อยกว่า และนันทนจิตจะดีสำหรับพวกเขา ในแง่ของรูปแบบที่เน้นปริมาณ (Quantitative Model) จะกล่าวถึงเวลาที่ถูกใช้ว่าใช้ไปอย่างไร ในแง่ที่เกี่ยวกับความคิดด้านสถาบัน (Institutional Concept) จะกล่าวถึงหน่วยงานที่ทำหน้าที่ต่าง ๆ ภายในระบบของสังคมที่นันทนจิตควรจัดให้บริการโดยโรงเรียน ครอบครัว โบสถ์ เศรษฐกิจ และจังหวัด/รัฐ ในแง่ของความคิดรวบยอดที่เกี่ยวกับทฤษฎีความรู้ (Epistemological Conception) มีพื้นฐานอยู่ที่คุณค่าทางวัฒนธรรม และในแง่ของสังคม (Sociological Approach) เริ่มต้นจากความเชื่อที่ว่า คำว่า นันทนจิตและคำอื่น ๆ ถูกให้คำจำกัดความในบริบททางสังคม โดยผู้มีบทบาททางสังคม (Social Actors) เป็นผู้กำหนดความหมายให้ คาแพลนกล่าวให้ชัดเจนขึ้นว่า คำจำกัดความมักจะแตกต่างกันอย่างลิบลับตามวิสัยทัศน์ที่แตกต่างกันของมนุษย์และโลก
เจมส์ เมอร์ฟีย์ (James Murphy, 1974) ได้จัดประเภทคำจำกัดความของคำว่า นันทนจิต ไว้ 6 ประเภท คล้ายกับที่คาแพลนได้กล่าวมาแล้ว ได้แก่
1. เวลาที่สามารถใช้ได้ตามต้องการ (Discretionary Time) นันทนจิตในฐานะของเวลาที่เหลือจากการทำงานในหน้าที่และภาระกิจตามความจำเป็นของมนุษย์
2. เครื่องมือทางสังคม (Social Instrument) นันทนจิตในฐานะสื่อไปสู่เป้าหมายทางสังคม เช่น การบำบัดการเจ็บป่วย (Therapy for the ill) เป็นหนทางไปสู่การมีส่วนร่วมทางสังคม เป็นการพัฒนาทักษะ และเป็นการทำหน้าที่ทางสังคมให้สมบูรณ์ (Fulfillment of Social Functions)
3. ชั้นทางสังคม เชื้อชาติ และอาชีพ (Social Class, Race, and Occupation) นันทนจิตในฐานะที่ถูกกำหนดโดยสังคมและมรดกทางสังคม รูปแบบการกำหนดเป็นพื้นฐานของการวิจัยเกี่ยวกับการทำนายการเข้าร่วมกิจกรรม และ ดังนั้น ที่กล่าวนี้จึงมิใช่คำจำกัดความแต่เป็นสมมติฐานทางสังคม (Sociological Assumption)
4. ความหมายดั้งเดิม (Classic) นันทนจิตในฐานะที่เป็นภาวะของความเป็นอิสระ “สภาวะ” ของจิตวิญญาณ และ เป้าหมายที่บรรลุได้ยาก
5. การต่อต้านผู้ถือลัทธิเอาประโยชน์ (Antiutilitarian) นันทนจิตในฐานะที่เป็นจุดจบในตัวเอง ไม่ใช่ สิ่งที่เป็นรองจากงาน (Not Secondary to Work) เช่น การแสดงออกส่วนตน (Self-Expression) และ การทำให้ตนเองได้รับความพึงพอใจ (Self-Fulfilling Satisfaction)
6. ภาพรวม (Holistic) นันทนจิตในฐานะที่สามารถจะค้นพบในสิ่งที่ไม่เคยได้พบหรือไม่เคยรู้มาก่อนจากกิจกรรมใดใดในทุกสถานที่ การอ้างหลักฐานของ เมอร์ฟีย์ ก็คือ นันทนจิต ที่แท้จริงก็คืออิสระจากการสนับสนุนของตนเองที่แสดงออกในการเข้าร่วมกิจกรรม (Murphy’s premise is that true leisure is person-enhancing freedom expressed in activity)

จากคำแปลของพจนานุกรมเวิลด์เน็ต ( WordNet Dictionary) ได้ให้คำจำกัดความของคำว่า “นันทนจิต” ในฐานะที่เป็น คำคุณศัพท์ (adj) ว่า เป็นการว่างจากหน้าที่หรือความรับผิดชอบ
จากการสัมมนานานาชาติเกี่ยวกับนันทนจิตศึกษา (Leisure Education) ที่เมืองเยรูซาเล็ม ประเทศอิสราเอล เมื่อปี ค.ศ. 1993 ได้ให้ความหมายคำ นันทนจิตไว้ว่า นันทนจิตเป็นบริเวณเฉพาะ (Specific Area) ของประสบการณ์ของมนุษย์ที่พร้อมด้วยคุณประโยชน์ของตัวมันเอง อันรวมไปถึง ความเป็นอิสระที่จะเลือก (Freedom of Choice) ความสร้างสรรค์ (Creativity) ความพึงพอใจ (Satisfaction) ความร่าเริง (Enjoyment) และความพึงพอใจและความสุขที่เพิ่มมากขึ้น (Increased pleasure and happiness)
นันทนจิต เป็นการรวบรวมรูปแบบของการแสดงออกหรือกิจกรรมที่มีองค์ประกอบทางกายภาพ สติปัญญา สังคม ศิลปะ หรือจิตใจที่มีสภาพเป็นธรรมชาติด้วยความตั้งใจที่แรงกล้าให้เข้ามาก่อให้เกิดประโยชน์สำหรับการดำรงชีวิตในฐานะที่เป็น “วิถีแห่งชีวิต” (WLRA International Charter for Leisure Education. Drafted and Approved at the WLRA International Seminar on Leisure Education, Jerusalem, Israel, August 2-4 1993 and ratified by the WLRA Board, Jaipur, India, Dec. 3 1993.)
นอกจากนั้น นันทนจิต ในฐานะที่เป็นคำนาม อาจแปลว่า เวลาที่มีอยู่เพื่อใช้ในการทำสิ่งที่ทำให้มีความสุขสบายและความผ่อนคลาย ดังประโยคตัวอย่างที่ว่า "His job left him little leisure" โดยมีความหมายในคำภาษาอังกฤษว่า leisure time หรือ free time, หรือ spare time ที่มีความหมายว่า - to that is free for leisure activities หรือที่ใช้เป็นภาษาไทยว่า “เวลาว่าง” ที่ส่วนใหญ่เข้าใจและใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
นันทนจิต อาจหมายถึง เวลาที่ผู้เข้าร่วมสามารถเลือกได้อย่างอิสระ และ/หรือเป็นกิจกรรมที่คัดสรรสำหรับแต่ละบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานหรือรูปแบบกิจกรรมอื่น ๆ ที่นับว่าเป็นความจำเป็นหรือว่าถูกบังคับให้กระทำ และเป็นสิ่งที่คาดว่า หลังจากการเข้าร่วมหรือประกอบกิจกรรมนั้น ๆ ไปแล้วจะทำให้เกิดความรู้สึกที่พึงพอใจ มีความผูกพัน มีความสุข เป็นไปเอง โดยตนเอง โดยที่ไม่ต้องมีใครมากระตุ้น ที่เกิดขึ้นทันที เป็นความประหลาดมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในใจ หรือเกิดจินตนาการ ทำให้บรรลุสมความปรารถนา ได้แสดงออกซึ่งตัวตนของตน และมีการพัฒนาตนเอง อาจกล่าวว่า นันทนจิต เป็นอาณาจักรของกิจกรรมที่สำคัญของชีวิต เป็นสาระที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาตลอดชีวิต (lifelong development) และเป็นความเจริญรุ่งโรจน์ความผาสุกความสุขใจของบุคคล (personal well-being)
คอร์เดส และ อิบราฮิม (Cordes and Ibrahim, 1996) ได้กล่าวถึงการให้คำจำกัดความของคำ นันทนจิตว่า เป็นการยากที่จะให้คำจำกัดความ เพราะแนวโน้มของผู้ให้จะกล่าวถึงคำจำกัดความในเชิงอัตนัยระดับสูง และความหมายของนันทนจิตจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละวัฒนธรรม นักวิชาการด้านนันทนาการศาสตร์จำนวนมากก็รู้สึกเสียใจกับความยากที่จะให้คำจำกัดความของคำนันทนจิตให้เป็นที่พึงพอใจได้ อย่างไรก็ตาม คอร์เดส และ อิบราฮิม ก็ได้สรุปความหมายของนันทนจิตไว้เพื่อให้เป็นไปตามจุดประสงค์ของการเขียนหนังสือ เรื่อง Applications in Recreation and Leisure ว่า “นันทนจิต คือ ความยินยอมที่จะกระทำสิ่งใดใดตามความพึงพอใจตามอัตภาพ การเข้าร่วมในกิจกรรมตามการเลือกของตน และการยกเลิกการเข้าร่วมกิจกรรมตามความตั้งใจของตนเอง”
อิวาซากิและแมนเนลล์ (Iwasaki & Mannell, 2000), แมนเนลล์และไคลเบอร์ (Mannell & Kleiber, 1997) ได้สรุปความหมายของคำว่า นันทนจิต ว่ามีความหมายที่หลากหลายแตกต่างกันไปตามมุมมองของแต่ละคน เป็นความหมายที่เกี่ยวข้องกับ อิสระของการเลือก (Freedom of Choice) หรือ การเลือกอย่างมีอิสระ และเกิดจากแรงจูงใจภายใน (Intrinsic Motivation) ซึ่งพฤติกรรมที่จะแสดงให้เห็น หรือพฤติกรรมที่สะท้อนกลับมาก็คือ ความสนุกสนานเพลิดเพลิน และความพึงพอใจที่แต่ละคนได้รับ
ยังมีผู้แสดงทัศนะเกี่ยวกับ นันทนจิต ไว้อีกมากมาย (Mannell, R.C., & Kleiber, D.A., 1997) รวมทั้ง ออสติน (Austin, 1999) ผู้เขียนหนังสือนันทนาการบำบัดขั้นนำ (Therapeutic Recreation: An introduction) และคนอื่น ๆ (e.g., Iso-Ahola, 1980; Neulinger, 1980; Smith & Theberge, 1987) ที่ได้กล่าวถึงปัจจัยเกี่ยวกับ ความเป็นอิสระที่แต่ละคนสามารถรับรู้/เข้าใจ (perceived freedom) และ แรงจูงใจภายใน (intrinsic motivation) ที่ถือว่าเป็นคุณสมบัติกลางของคำว่า นันทนจิต ไว้ กล่าวคือ “ความเป็นอิสระที่ตนเองสามารถรับรู้/เข้าใจ” เป็นความสามารถของบุคคลในการจัดการบางสิ่งตามที่ตนเลือกไว้ หรือตามที่ตนเองกำหนด ที่เรียกว่า “self-determination” นอกเหนือจากการแสดงพฤติกรรมปกติของตัวเอง และสิ่งที่เป็นอยู่จะไม่มีการรบกวนหรือได้รับแรงกดดันจากภายนอก ส่วน “แรงจูงใจจากภายใน” เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดพลัง ซึ่งในทางจิตวิทยาถือว่าเป็นรางวัลภายใน (internally rewarding) เป็นพฤติกรรมที่เป็นแรงกระตุ้นจากภายในให้เป็นไปตามความต้องการของตนเอง และเพื่อตนเองมากกว่าที่จะเป็นหนทางไปสู่การได้รับรางวัลภายนอก ดังนั้น แรงจูงใจภายในจึงนับว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญของนันทนจิตสำหรับการเข้าร่วมและดำเนินกิจการทุกสิ่งให้ประสบผลสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อิโซ-อาโลฮา (Iso-Ahola, 1984) ได้กล่าวถึง รางวัลอันแท้จริง (intrinsic reward) ของนันทนจิต ว่า
รางวัลอันแท้จริง ที่บุคคลแสวงหาจากการเข้าร่วมในกิจกรรมนันทนจิต อาจแบ่งออกได้เป็นรางวัลส่วนตัว และรางวัลระหว่างบุคคล (personal and interpersonal rewards) รางวัลส่วนตัว อาจหมายถึงสิ่งที่นอกจากความสามารถที่จะทำอะไรตามที่ตนกำหนดด้วยตัวเองแล้ว ยังรวมถึงความรู้สึกถึงสมรรถภาวะ (competence) หรือการมีความสามารถ (mastery) การท้าทาย (challenge) การเรียนรู้ (learning) การสำรวจค้นหา (exploration) ความพยายาม (efforts) และการผ่อนคลาย (relaxation) อีกด้วย และในอีกประการหนึ่ง การเข้าร่วมในกิจกรรมของ
นันทนจิต ที่เขาคิดว่าเป็นสิ่งดีมีประโยชน์สำหรับเขา เป็นความท้าทาย และทำให้เขาได้ใช้และพัฒนาทักษะและความสามารถส่วนตัว การได้เรียนรู้สิ่งใหม่หรือกิจกรรมใหม่ การได้รับทักษะใหม่ การได้ใช้ความพยายาม และการสำรวจสิ่งที่เป็นรางวัลภายในทุกอย่างที่บุคคลจะได้รับจากการเข้าร่วมในกิจกรรมนันทนจิตตามความต้องการของตนเองเพื่อตนเอง (for their own sake) ส่วนรางวัลระหว่างบุคคล (interpersonal rewards) อาจหมายถึงสิ่งหนึ่งหรือหลายสิ่งที่ได้รับ เช่น การมีปฏิสังสรรค์ทางสังคม ก็เป็นรางวัลภายในที่สำคัญที่ผู้คนต้องการ
นอกจากนั้น ยังได้กล่าวถึงนันทนจิตว่าเป็นแหล่งสำคัญสำหรับการพัฒนาส่วนบุคคล สังคมและเศรษฐกิจ และเป็นแง่มุมที่สำคัญของคุณภาพชีวิต นอกจากนั้น ยังเป็นสินค้าและอุตสาหกรรม (commodity and industry) ทางวัฒนธรรมที่สร้างสรรค์การจ้างงาน สินค้าและบริการอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ปัจจัยด้านการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมก็สามารถสร้างเสริม หรือถ่วง/ขัดขวาง/เป็นอุปสรรคสำหรับการพัฒนาหรือความเจริญก้าวหน้าของนันทนจิตได้เช่นกัน

นันทนจิตในแง่ที่ดีและในภาพรวมสามารถที่จะสร้างเสริมสุขภาพและความผาสุก (Well-being) ได้ โดยการเสนอโอกาสที่หลากหลายที่จะทำให้บุคคลหรือกลุ่มสามารถเลือกกิจกรรมและประสบการณ์ที่เหมาะสำหรับความต้องการ ความสนใจและความปรารถนาของตนเอง ผู้เข้าร่วมกิจกรรมสามารถบรรลุศักยภาพทางนันทนจิตที่สูงที่สุดได้ เมื่อเขาได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจที่แสดงให้เห็นถึงสถานะภาพทางนันทนจิตของพวกเขาทั้งหลายเองอีกด้วย
นันทนจิตเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน เช่นเดียวกับการมีสิทธิทางการศึกษา การทำงาน และการมีสุขภาพที่ดี และไม่ควรมีใครก็ตามที่จะไม่ได้รับสิทธินี้ อันเนื่องมาแต่ เพศ อายุ เชื้อชาติ ความเชื่อ ศาสนา สภาวะสุขภาพ สถานะภาพทางเศรษฐกิจ และ/หรือความพิการโดยเด็ดขาด
นันทนจิตเป็นมากกว่าปรากฏการณ์ทางประวัติศาสตร์ เป็นสิ่งที่กำลังเป็นอยู่และกำลังจะเป็น เป็นความเป็นไปได้ของปฏิบัติการที่สร้างสรรค์ (Kelly, 1996)
แรงกระตุ้นของนันทนจิต
ปัจจัยที่เป็นแรงกระตุ้นของนันทนจิตมีมากมายหลากหลายและแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับบุคลิกภาพของคนนั้น ๆ รูปแบบการดำเนินชีวิต เป้าหมายและความต้องการ แต่โดยทั่วไป ปัจจัยที่ทำให้บุคคลเข้าร่วมในนันทนจิตก็คือ ความสนุกสนาน (Fun) และ ความร่าเริงยินดี (Enjoyment) (Kraus, 1994) ส่วน ไดรเวอร์ และบราวน์ (Driver and Brown, In Edginton, Jordan, DeGraaf, and Edginton. Leisure and life satisfaction, 1995) ได้ทำการสำรวจวรรณคดีที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานในคณะกรรมการของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับกิจกรรมกลางแจ้งของคนอเมริกัน พบว่ามีปัจจัยหลายประการที่ทำให้บุคคลเข้าร่วมในนันทนจิต พอสรุปได้ดังนี้
1. สนุกสนานเพลิดเพลินกับธรรมชาติ (Enjoy Nature)
2. สมรรถภาพทางกาย (Physical Fitness)
3. ลดความตึงเครียด (Reduce Tension)
4. หลีกหนีฝูงชนและเสียงที่อึกทึก (Escape Noise and Crowds)
5. การเรียนรู้กลางแจ้ง (Outdoor Learning)
6. แลกเปลี่ยนค่านิยมที่คล้ายคลึงกัน (Share Similar Values)
7. ความเป็นอิสระ (Independence)
8. ความสัมพันธ์ในครอบครัว (Family Kinship)
9. การทดสอบความรู้สึก (Introspection)
10. การได้อยู่กับคนที่มีความพร้อมและมีความตั้งใจ (Be With Considerate People)
11. การกระตุ้นความสัมฤทธิผล (Achievement Stimulation)
12. พักผ่อนร่างกาย (Physical Rest)
13. สอน/นำผู้อื่น (Teach/Lead Others)
14. อยากเสี่ยงผจญภัย (Risk Taking)
15. ลดความเสี่ยงภัย (Risk Reduction)
16. พบคนหน้าใหม่ (Meet New People)
17. ฟื้นความหลัง (Nostalgia)
ปัจจัยดังกล่าวอาจแสดงให้เห็นถึงความหมายของนันทนจิตได้บ้าง หรืออย่างน้อยก็แสดงให้
เห็นความคิดหลักที่เป็นแกนของนันทนจิตก็คือ การมีอิสระในการเลือกกิจกรรมและแรงจูงใจภายในในการเข้าร่วมกิจกรรมนันทนจิตเพื่อให้บรรลุซึ่งความพึงพอใจในชีวิต (Life Satisfaction) ของบุคคลนั่นเอง
นันทนจิตเกี่ยวข้องกับการเมืองการปกครองหรือไม่?
ความหลากหลายทางนันทนจิต (Leisure Diversity) ในสังคมที่มากหลายวัฒนธรรม (Multicultural Society) ในสังคมอเมริกัน ทำให้ชนกลุ่มน้อย (Minorities) กำลังกลายเป็นชนกลุ่มใหญ่ (Majorities) ขึ้นมา ประเด็นของนันทนจิตก็เริ่มขยายขอบเขตมากขึ้น โดยประเด็นที่เกี่ยวกับความหลากหลายทาง เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ และชนชั้นทางสังคม จะไปรวมตัวกับปัจจัยทางเพศ และธรรมชาติของความพึงพอใจทางเพศ (Sexual Orientation) ขึ้น นอกจากนั้น ประเด็นของนันทนจิตในธุรกิจและการตลาด เช่น การใช้จ่ายที่สัมพันธ์กับนันทนจิต คิดเป็นร้อยละ 97 ของการตลาดหมายว่าอะไร นันทนจิตกับสังคมของผู้สูงวัยที่เริ่มมีจำนวนมากขึ้น นันทนจิตในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารควรเป็นเช่นไร นันทนจิตในฐานะประเด็นทางการเมืองการปกครองที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นเช่นไร ซึ่งประเด็นการเมืองการปกครองที่จะยกขึ้นมากล่าวถึงนี้ เป็นเพียงตัวอย่างที่ผู้เขียนกำลังจะอธิบายถึงความคิดรวบยอดเกี่ยวกับนันทนจิตเท่านั้น หากเป็นไปได้ในโอกาสต่อไป ผู้เขียนจะได้พยายามเสนอข้อคิดเห็นต่าง ๆ เกี่ยวกับนันทนจิตทางบทความให้มากยิ่งขึ้น
นันทนจิตเกี่ยวข้องกับการเมืองการปกครองในแง่ที่ว่าองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐเป็นเจ้าของและผู้จัดบริหารแหล่งนันทนาการและนันทนจิตส่วนใหญ่ กล่าวคือ รัฐเป็นผู้กำหนดเขตป่าไม้ เขต วนอุทยาน/อุทยานแห่งชาติ แหล่งน้ำ ภูเขา และแหล่งนันทนาการอื่น ๆ หลายชุมชนใช้งบประมาณเพื่อการจัดบริหารโครงการนันทนาการและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ จึงมีความเป็นไปได้ที่โอกาสและความสมหวังของผู้เข้ารับบริการอาจจะไม่บรรลุ เพราะงบประมาณเป็นสิ่งที่ต้องมาก่อนหรือเป็นสิ่งที่รัฐหรือชุมชนให้ความสนใจเป็นพิเศษ ดังนั้น การกำหนดสิ่งที่ต้องมาก่อนหรือสิ่งที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษจึงเป็นกระบวนการทางการเมืองและการปกครอง
กิจกรรมนันทนจิตบางประเภทในบางประเทศ หรือตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนในประเทศก็คือการกำหนดเวลาเปิดปิดสถานบันเทิงและการห้ามผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าในสถานบันเทิงบางประเภท หรือตัวอย่างกิจกรรมนันทนจิตหลายประเภท รวมทั้ง การผิวปาก/เป่าปาก จะกระทำมิได้ในวัน แซบบัทธ์ (Sabbath) ซึ่งเป็นวันเข้าโบสถ์ในวันอาทิตย์ของชาวคริสต์ส่วนใหญ่ หรือวันเสาร์สำหรับศาสนาของชาวยิวที่เรียกว่า “Judaism” และชาวคริสต์บางกลุ่ม (Christian Denominations) หรือ เมืองในอาณานิคมของ นิว อิงแลนด์ (Colonial New England) กิจกรรมประเภทกีฬาจะเริ่มเล่นก่อนเที่ยงวันในวันอาทิตย์ไม่ได้ นอกจากนั้น การเก็บภาษีสำหรับเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ และภาษีสำหรับการดื่มเครื่องดื่มจะสูงมาก แต่จะเก็บภาษีต่ำสำหรับอาหารที่มีไขมันสูงและอาหารที่มีใย/กากอาหารต่ำ (High-fat, low-fiber foods)
การจัดสรรงบประมาณของรัฐสำหรับให้การสนับสนุนการจัดให้มีระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน (Infrastructure) เพื่อที่จะให้กิจกรรมนันทนจิตหลายชนิดสามารถดำเนินการได้ เช่น การให้ทุนสนับสนุนระบบทางด่วนระหว่างรัฐ ระบบการสัญจรทางอากาศ และการก่อสร้างเครื่องบินเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว
จากที่กล่าวมา อาจสรุปได้ว่านันทนจิตทั้งในแง่การเมืองการปกครองหรือการศึกษาที่มีนโยบายที่กำหนดขึ้นเป็นเพียงปลายยอดของก้อนน้ำแข็งที่ลอยอยู่ในทะเล (Only the Tip of the Iceberg) เช่น การให้คำแนะนำ ภาษี การออกใบอนุญาต และการสนับสนุนด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน เท่านั้น
พัฒนาการนันทนจิตจะเป็นไปได้ก็โดยการจัดสภาพความเป็นอยู่ขั้นพื้นฐาน ได้แก่ ความปลอดภัย การมีที่อยู่อาศัย อาหาร รายได้ การศึกษา การให้มีแหล่งให้การสนับสนุนค้ำจุน ความยุติธรรมและสังคมที่เท่าเทียมกัน
จากการศึกษาพบว่า นันทนจิตมีความสัมพันธ์กับกิจกรรมต่าง ๆ ที่ผู้เข้าร่วมตัดสินใจด้วยตนเอง ร่วมกับการอาศัยประสบการณ์ที่มีอยู่ด้วยการไตร่ตรองอย่างสุขุมรอบคอบ รวมทั้งการคำนึงถึงรายได้ เวลา และพฤติกรรมทางสังคมของผู้เข้าร่วมด้วย กิจกรรมต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นนั้น เป็น “กิจกรรมนันทนจิต” ที่อาจเป็นกิจกรรมทางกาย (Physical) ทางสังคม (Social) หรือทางสติปัญญา/การใช้ความคิดและเหตุผล (Intellectual) กระทำหรือเข้าร่วมด้วยความสมัครใจ (Volunteer) และด้วยความสร้างสรรค์ (Creative) หรือ เป็นกิจกรรมที่มีห้าลักษณะดังกล่าวมาเกี่ยวข้องร่วมด้วยกันทั้งหมดหรือเป็นบางส่วนก็ได้
ตัวอย่างจากที่กล่าวข้างต้นจะเห็นได้จากข่าวในมติชนสุดสัปดาห์ ประจำวันที่ 23 เมษายน 2547 ปีที่ 24 ฉบับที่ 1236 “ซูเปอร์สตาร์” กองเชียร์หมายเลข 001 กองเชียร์ "ทีมชาติไทย" ฟุตบอลไทยไปฟุตบอลโลก เกี่ยวกับนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ที่ได้ประเดิมลงทะเบียนเป็นแฟนคลับทีมชาติไทยคนแรก ในโครงการสานฝัน "ฟุตบอลไทย ไปฟุตบอลโลก" ค.ศ.2006 หรือ ค.ศ.2010 โดยนายกรัฐมนตรีได้มีคำกล่าวในการเป็นประธานโครงการจุดประกายสานฝัน ส่งใจเชียร์ "ฟุตบอลไทย ไปฟุตบอลโลก" พร้อมกับการเปิดตัวสโมสรแฟนฟุตบอลทีมชาติไทย หรือแฟนคลับทีมชาติไทยของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ อย่างเป็นทางการ ที่อำเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตร เมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2547 ว่า "ผมอยากเห็นเราได้เชียร์ทีมฟุตบอลไทยของเราเอง แบบรักจริง ๆ คนไทยคงจะมีความสุขกันอย่างแท้จริง !!"

นอกจากนั้น ยังมีข้อความเพิ่มเติมอีกว่า

พ.ต.ท.ทักษิณประเดิมลงทะเบียนเป็นแฟนคลับทีมชาติไทยคนแรก ด้วยหมายเลขสมาชิก 001 เพื่อเป็นการกระตุ้นให้คนไทยเข้าร่วมแฟนคลับนี้ต่อไป โดยมีเป้าหมายว่า จะหาสมาชิกให้ได้ถึง 5 ล้านคน เมื่อถึงการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในอีก 2 ปีข้างหน้า อันเป็นเป้าหมายด่านแรกสุดของโครงการในฝัน โครงการนี้

"ผมไปราชการภาคใต้ เห็นเยาวชนที่นั่น เล่นฟุตบอลกันในสนามที่ไม่ได้มาตรฐาน แต่พวกเขาก็เล่นกันอย่างมีความสุข เพราะได้ทำในสิ่งตัวเองชื่นชอบและเป็นประโยชน์"
เป็นประโยคนำร่องของ พ.ต.ท.ทักษิณที่เน้นนโยบายล่าสุดในการสั่งการให้สร้างสนามกีฬา หรือสนามฟุตบอลในทุกตำบล ทุกอำเภอ ทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยเน้นเป้าหมายเฉพาะหน้าในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้คือ **ปัตตานี-ยะลา-นราธิวาส** เป็นด่านแรก พร้อมกับการจัดการแข่งขันฟุตบอลเยาวชนในเขต 3 จังหวัดภาคใต้ดังกล่าวอีกด้วย

จากข่าวดังกล่าว แสดงตัวอย่างของสภาวะนันทนจิตของนายกรัฐมนตรีในการเลือกที่จะกระทำการใดอย่างเป็นอิสระ โดยมีเป้าหมายทั้งในฐานะที่เป็นผู้บริหารสูงสุดของประเทศที่จะต้องรับผิดชอบต่อการจัดหาและพัฒนาด้านสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการประกอบกิจกรรมนันทนาการและ นันทนจิตให้แก่ประชาชนในชาติ และในฐานะของผู้มีส่วนร่วมในกิจกรรมนันทนจิตผู้หนึ่ง ซึ่งรางวัลอันแท้จริงจะเป็นผลตามมาจากการดำเนินการดังกล่าวคือความสุขและการได้ทำอะไรในสิ่งที่ชอบและเป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือการพัฒนาประเทศและประชาชนในชาตินั่นเอง
ประสบการณ์นันทนจิต (Leisure Experiences) เป็นอีกคำหนึ่งที่มีการใช้ในนันทนจิต อันมีความหมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม เป็นประสบการณ์ที่เหมือนกับประสบการณ์ที่เป็นแบบอย่างอื่น ๆ ทั่วไป ที่รวมกิจกรรมการเล่นที่ชักจูงใจผู้เข้าร่วม ทำให้ผู้เข้าร่วมเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน เป็นกิจกรรมประเภทสร้างสรรค์และศิลปะ (art and creative activities) กิจกรรมที่ท้าทายและผจญภัย (adventure challenges activities) กิจกรรมประเภทเกมและกีฬา (sports and games) กิจกรรมการเดินทางและการท่องเที่ยว (travel and vacations) และ/หรือเป็นกิจกรรมสำหรับการเฉลิมฉลองเนื่องในวันหยุด (holiday celebrations) ซึ่งที่กล่าวมานี้เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยของประสบการณ์ นันทนจิต ซึ่ง คอร์เดสและอิบราฮิม (1996) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบสำคัญของประสบการณ์นันทนจิตไว้ 3 องค์ประกอบ ดังนี้
1. ความมีอิสระที่รับรู้เข้าใจได้ (Perceived Freedom) หมายถึง บุคคลสามารถลงมือกระทำหรือเข้าร่วมกิจกรรมใดที่จะสร้างเสริมประสบการณ์ของตน และสามารถละเลิกการกระทำหรือการเข้าร่วมกิจกรรมนั้น ๆ ได้ตามที่ตั้งใจ ตัวอย่างเช่น เรามีอิสระที่จะขับรถยนต์ไปเที่ยวชายทะเลในวันอาทิตย์ พักผ่อนหย่อนใจอยู่ที่บริเวณชายหาดได้นานเท่าที่เราต้องการ หลังจากนั้นเราก็ขับรถยนต์กลับเมื่อรู้สึกว่าอยากจะกลับ อย่างไรก็ตาม ในวันทำงานเราก็คงไม่สามารถกระทำการดังกล่าวได้
2. กิจกรรมที่เข้าร่วมมีจุดจบ/ความมุ่งหมายในตัวเองและเพื่อตัวเอง (Autotelic Activity) หมายถึง กิจกรรมนั้น ๆ มีความมุ่งหมายหรือผลประโยชน์อยู่ภายในตัวเอง (possessing internal purpose) และการเข้าร่วมในกิจกรรมของบุคคลใดก็เป็นไปเพื่อการเข้าร่วมในกิจกรรมนั้น ๆ เท่านั้น โดยมิได้มุ่งถึงการที่จะให้ได้รับรางวัลหรือเพื่อการหลีกเลี่ยงจากการถูกกระทำโทษ (done for its own sake)
3. ผลที่ได้รับเป็นสิ่งมีประโยชน์ (Beneficial Outcome) หมายถึง การที่บุคคลเข้าร่วมในกิจกรรม บุคคลย่อมรับรู้ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเขา เช่น เขาเข้าไปออกกำลังกาย/เล่นกีฬาในสถานที่สำหรับการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก สร้างเสริมสมรรถภาพทางกาย หรือเพื่อการพัฒนาระบบไหลเวียนโลหิตและระบบหายใจ เป็นต้น
ความหมายของนันทนจิตจึงอาจสรุปได้เป็น 3 ลักษณะ ลักษณะแรก นันทนจิตใน
ฐานะเวลาที่เหลืออยู่ (Leisure as Residual Time) อันหมายถึงเวลาที่ว่าง (Free Time) จากการปฏิบัติภารกิจที่จำเป็นประจำวันสำหรับร่างกาย (Time for Existence) และเวลาที่ต้องประกอบอาชีพ (Time for Subsistence) ระหว่างเวลาทั้งสามนี้จะมีเวลาที่คาบเกี่ยวกันอยู่ ไม่สามารถแยกออกจากกันได้โดยเด็ดขาด (เป็นลักษณะวงกลมสามวงวางทับกัน จะเกิดส่วนที่ทับซ้อนกัน/เหลื่อมกันอยู่) ลักษณะที่สอง นันทนจิตในฐานะกิจกรรม (Leisure as Activity) อันหมายถึงปฏิบัติการในพฤติการณ์เฉพาะ (Specific Deed or Act) ซึ่งแม้ว่าพฤติการณ์ของมนุษย์จะมีมากมาย แต่ก็จะมีลักษณะที่เป็นของแน่นอนร่วมกันอยู่ ยกตัวอย่างจากการวิเคราะห์ของนักจิตวิทยาสังคม (เชื้อสาย อเมริกัน-ญี่ปุ่น) คนหนึ่งที่ชื่อ ทาโมทสึ ชิบูทานิ (Tamotsu Shibutani) ที่กล่าวว่า พฤติการณ์ใดใดของบุคคลมักเกิดจากการที่สภาพของร่างกายอยู่ในสภาวะของการขาดสมดุล (Condition of Disequilibrium) เมื่อสภาพดังกล่าวเกิดขึ้นแล้ว บุคคลนั้นจะต้องทำให้ร่างกายกลับสู่สภาพที่มีสมดุลให้ได้ เช่น กรณีที่จะลื่นหกล้ม ก็ต้องมีการปรับแต่งส่วน ต่าง ๆ ของร่างกายให้อยู่ในสภาวะที่จะช่วยให้ร่างกายมีการทรงตัวที่ดีมีความมั่นคงโดยเร็ว หรือ ถ้าหิว ก็ต้องรีบไปหาอาหารมารับประทาน และถ้าในขณะที่หิวนั้น กำลังอยู่กับเพื่อน ๆ ด้วยก็ต้องคิดว่า เรามีเงินที่จะไปซื้ออาหารมาทานไหม เพื่อนจะรู้ไหมว่าถึงเวลาที่จะต้องทานอาหารแล้ว จะไปหาอาหารรับประทานได้ที่ไหน หรือถ้าแต่งกายไม่เรียบร้อยก็จะรู้สึกกังวลไม่สบายใจ เป็นต้น และนันทนจิตในฐานะสุดท้ายคือในฐานะภาวะของจิตใจ (Leisure as State of Mind) ซึ่งเป็นประเด็นที่ทำให้ผู้เขียนนำมาคิดเป็นคำไทยคำใหม่ รายละเอียดดังที่ได้กล่าวมาแล้วตั้งแต่ต้น อันมีความหมายว่า ภาวะของจิตใจของแต่ละบุคคลจะเป็นตัวกำหนดว่ากิจกรรมแท้จริงใดเป็นนันทนจิต บางท่านอาจคิดว่าการได้เล่นปล้ำกับเพื่อนในดินโคลนเป็นนันทนจิตที่สุดยอดของเขา ในขณะที่ท่านอื่นอาจชอบสะสมแสตมป์ สะสมของเก่า ปลูกผักชีวภาพ หรือเพียงให้ได้นอนในเปลญวนเท่านั้นก็เป็นความพึงพอใจอย่างที่สุดแล้ว
จากที่กล่าวมาแต่ต้น ท้ายที่สุด คำถามสำคัญที่ตามมาหลังจากมีความพยายามที่จะทำความ
เข้าใจนันทนจิตในวัฒนธรรมใดวัฒนธรรมหนึ่งก็คือ ทำไมบุคคลจึงประกอบกิจกรรมนั้น ๆ? ผู้เข้าร่วมทำการตัดสินใจเลือกได้อย่างไร? และอะไรเป็นผลที่ตามมา? จาก “นันทนจิต” ไม่ว่าจะเป็นการมีส่วนร่วม หรือการตัดสินใจที่จะเลือกเข้าร่วมอย่างมีอิสระในนันทนจิต ด้วยนันทนจิต และเพื่อนันทนจิต ด้วยก็ตาม

สรุป
เรื่องราวรายละเอียดเกี่ยวกับนันทนจิต ยังมีอีกมากมายที่ต้องมีการทำการศึกษาค้นคว้าและวิจัยเพื่อความเข้าใจนันทนจิตให้มากกว่านี้ จากการศึกษา พบว่า นันทนจิตมีความเป็นมาที่ลึกซึ้งและยาวนาน มีตำราที่เสนอรายละเอียดเกี่ยวกับนันทนจิตอย่างลึกซึ้ง มีการผลิตบัณฑิตในสาขาวิชานันทนจิตในระดับบัณฑิตศึกษาหลายสถาบันการศึกษาในต่างประเทศ นั่นย่อมเป็นการแสดงว่า นันทนจิต หรือ Leisure มีความหมายมากกว่าและลึกซึ้งกว่าคำแปลหรือความหมายว่า “เวลาว่าง” ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันมากนัก ในความคิดเห็นของผู้เขียน หากต้องการจะกล่าวถึงคำว่า “เวลาว่าง” และต้องการใช้คำภาษาอังกฤษ “Leisure” ควรใช้คำภาษาอังกฤษ “Time” ประกอบเป็น “Leisure Time” ลงไปด้วย ส่วนความคิดรวบยอด (Concept) ของ “นันทนจิต” ในขณะนี้ เท่าที่ผู้เขียนได้ทำการศึกษามาพบว่ายังพอมีบ้าง และถือเป็นความคิดของแต่ละคนที่จะบัญญัติความหมายขึ้นมา จะครอบคลุมความหมายที่แท้จริงหรือไม่ หรือผู้ใดจะเห็นด้วยมากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละคนเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชานันทนาการศาสตร์ในประเทศยังจะต้องพยายามศึกษาค้นคว้าวิเคราะห์และสังเคราะห์ และเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับนันทนจิตอย่างจริงจัง ให้มากกว่าและอย่างกว้างขวางกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อให้เกิดความกระจ่างว่า นันทนจิตคืออะไร หรือหมายความว่าอย่างไร แตกต่างกับนันทนาการหรือไม่ อย่างไร ทำไมไม่ใช้คำใดคำหนึ่งให้เจาะจงลงไป จะเป็นการยุ่งยากหรือไม่ถ้าจะใช้คำทั้งสองไปด้วยกัน และจะยุ่งยากอย่างไร
ท้ายที่สุด ขอเสนอและชวนเชิญให้ใช้คำไทยคำใหม่สำหรับคำภาษาอังกฤษ Leisure ว่า “นันทนจิต” เพื่อความเจริญก้าวหน้าของวงวิชาการนันทนาการศาสตร์ และเพื่อเป็นการแสดงถึงความเป็นไทยมากขึ้น และผู้เขียนจะรู้สึกเป็นเกียรติและยินดีเป็นอย่างยิ่งหากจะมีผู้คิดเสนอคำอื่นที่เหมาะสมกว่าคำ “นันทนจิต” ขึ้นมาก็จะเป็นการดียิ่ง.


บรรณานุกรม

คณิต เขียววิชัย. หลักนันทนาการ (Principles of Recreation). นครปฐม: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัย
ศิลปากร นครปฐม, 2539.
ชินวัฒน์ คำหวาน. ผลของโปรแกรมนันทนาการที่มีต่อการพัฒนาสมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพเด็ก
ในสถานสงเคราะห์. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชาพลศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย, 2545.
ณัฐพล อันตรเสน. การศึกษาปัญหาการจัดและดำเนินการโครงการนันทนาการในโรงเรียนสำหรับเด็ก
พิเศษ. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชาพลศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย, 2542.
เติมเพชร สุขคณาภิบาล. ผลของโปรแกรมนันทนาการที่มีต่อการพัฒนาสมรรถภาพทางกายเพื่อ
สุขภาพของผู้สูงอายุ. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชาพลศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย,
2546.
มติชนสุดสัปดาห์ ประจำวันที่ 23 เมษายน 2547 ปีที่ 24 ฉบับที่ 1236 “ซูเปอร์สตาร์” กองเชียร์หมายเลข
001 กองเชียร์ "ทีมชาติไทย" ฟุตบอลไทยไปฟุตบอลโลก
ประพัฒน์ ลักษณพิสุทธิ์. นันทนาการเพื่อกลุ่มบุคคลพิเศษ. กรุงเทพมหานคร: โครงการพัฒนารายวิชา
เพื่อการเรียนการสอน สำนักวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2546.
สมบัติ กาญจนกิจ. หลักการนันทนาการ. กรุงเทพมหานคร: โครงการพัฒนารายวิชา เพื่อการเรียน
การสอน สำนักวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2546.
สมบัติ กาญจนกิจ. นันทนาการและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์แห่ง
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2544.

ภาษาอังกฤษ
Austin, D.R. Therapeutic recreation processes and techniques. Champaign, IL: Sagamore, 1999.
Austin, D.R. and Crawford, M.E. Therapeutic recreation: An introduction. Boston: Allyn and
Bacon, 2001.
Cordes, K.A. and Ibrahim, H.M. Applications in recreation and leisure for today and the future.
St. Louis: Mosby-Year Book, Inc., 1996.
Edginton, C.R., Hanson, C.R., and Edginton, S.F. Leisure programming concepts, trends and
professional practice. Dubuque, IA: Wm.C. Brown Communications, Inc., 1992.

Edginton, C.R., Jordan, D.J., DeGraaf, D.G., and Edginton, S.R. Leisure and life satisfaction:
Foundational perspectives. Madison Dubuque, IA: Brown and Benchmark Publishers,
1995.
http://encarta.msn.com/dictionary_/leisure.html
http://www.thefreedictionary.com/leisure
Jordan, D.J. Leadership in leisure service: Making a difference. State College, PA: Venture
Publishing, Inc., 1993.
Kaplan, M. Leisure: Theory and policy. New York: John Wiley, 1975.
Kelly, J.R. Leisure. 3rd Ed. Boston: Allyn and Bacon, 1996.
Kraus, R. Leisure in a changing America. New York: Macmillan, 1994.
Kraus, R., Barber, E., and Shapiro, I. Introduction to leisure services : Career perspectives.
Champaign, IL: Sagamore Publishing Inc., 2001.
Kraus, R. G. and Curtis, J.E. Creative management in recreation, parks, and leisure services.
Boston: McGraw-Hill, 2000.
Mannell, R.C. and Kleiber, D.A. A social psychology of leisure. State College, PA: Venture, 1997.
Murphy, J. Concepts of leisure: Philosophical implications. Englewood Cliffs, NJ: Prentice-Hall,
1974.
Murphy, J.E. Recreation and leisure service: A humanistic perspectives. Dubuque, IA: Wm. C.
Brown Communications, Inc., 1975.
Neulinger, J. Introduction. In S.E. Iso-Aloha (Ed.), Social psychological perspectives on leisure
and recreation. (pp. 5-18). Springfield, IL: Thomas, 1980.
Smith, D.H. and Theberge, N. Why people recreate. Champaign, IL: Life Enhancement
Publications, 1987.
Torkildsen, G. Leisure and recreation management. London: E and FN Spon, 1986.
Veblen, T. The theory of the leisure class. New York: New American Library, 1953.
WLRA International Charter for Leisure Education. Drafted and Approved at the WLRA
International Seminar on Leisure Education, Jerusalem, Israel, August 2-4 1993 and ratified
by the WLRA Board, Jaipur, India, Dec. 3 1993.
????????

.