เคยได้ยินผู้หลักผู้ใหญ่สั่งสอนกันมาว่าชาติที่แล้วมีนะ ชาติหน้าก็มี นรกก็มีสวรรค์ก็มี เหตุผลของท่านข้อหนึ่งก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องให้เราทำความดีอย่าทำชั่วไม่อย่างนั้นจะตกนรกหรือไม่ก็ให้ทำแต่ความดีชาติหน้าจะได้เกิดมาในภพชาติที่ดีๆ เรายุคไอทีจะเชื่อกันมั้ยว่ามันมีหรือไม่ชาติหน้าชาติที่แล้ว เมื่อก่อนเราไม่เชื่อเลยเรื่องภพเรื่องชาติเนื่องจากเกิดมาในยุคสมัยของวิทยาศาสตร์เฟื่องฟู เราก็คิดตามหลักการของวิทยาศาสตร์ว่า มนุษย์เราที่มีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะองค์ประกอบต่างๆของร่างกายมันทำงาน แต่ถ้าเราตาย องค์ประกอบต่างๆหยุดทำงาน ก็จบอยู่แค่นั้น เพราะมันไม่มีเหตุผลใดๆเลยที่จะบอกว่าชาติหน้าชาติที่แล้วมีจริง ไม่มีใครพิสูจน์ได้ แต่ตอนนี้เราเชื่อเรื่องชาติก่อนและชาติหน้าแล้วล่ะว่ามันมีจริง พระพุทธเจ้าท่านได้สั่งสอนเรามา พระสงฆ์ก็ได้เทศน์สืบต่อกันมาเรื่อยๆ เรื่องที่เห็นชัดๆว่าน่าจะนำเรื่องภพชาติมาพูดถึงกันได้ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องกรรม พระสงฆ์องค์เจ้าเวลาท่านเทศน์ท่านก็จะชอบเล่าเรื่องสมัยพุทธกาลให้ฟังทุกครั้งไป ส่วนใหญ่ก็จะเล่าทำนองว่าทำไมคนนี้ถึงมีชีวิตเป็นแบบนี้ พระพุทธเจ้าท่านก็จะเล่าว่าก็เพราะชาติก่อนเคยทำอย่างนี้จึงเป็นอย่างนี้ ทีนี้เรามาดูว่าสิ่งที่ท่านเทศน์นั้นจริงหรือไม่ เราในฐานะที่เรียนสถิติมาก็เรียนเรื่องหลักความน่าจะเป็น หลักคำสอนของท่านไม่ว่าจะเรื่องใดๆก็ตามลองหาดูว่ามีมั้ยที่ท่านสอนไปแล้วผิด สอนไปแล้วมาแก้ไขใหม่ คำตอบคือไม่มีเลย ทุกสิ่งที่ท่านสอนล้วนเป็นความจริงเสมอ จริงตลอดไป ผ่านมา 2,500 กว่าปีมันก็ยังจริงอยู่อย่างนั้น แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะบอกว่าเรื่องชาติก่อนชาติหน้าไม่จริง ดังนั้นเราจึงสามารถอนุมานได้ว่าเรื่องภพชาติที่พระพุทธเจ้าเทศน์นั้นมีจริงอย่างแน่นอน พระอาจารย์ท่านหนึ่งท่านเคยเทศน์เรื่องเกี่ยวกับกรรม ท่านตั้งคำถามว่า "เมื่อวานมีมั้ย คำตอบคือมี พรุ่งนี้มีมั้ย คำตอบคือมี ทำไมเราจึงรู้ว่าพรุ่งนี้มีล่ะทั้งๆที่มันยังมาไม่ถึง ก็เพราะวันนี้ก็คือพรุ่งนี้ของเมื่อวาน แล้วทำไมเรารู้ว่ามีเมื่อวานล่ะ ก็เพราะเมื่อวานก็คือพรุ่งนี้ของเมื่อวานซืน เพราะอะไรเราจึงบอกได้ว่ามันมี ก็เพราะเราจำได้" สิ่งที่ท่านเทศน์เป็นจริงอย่างแน่นอนไม่มีใครคัดค้าน แล้วเหตุใดเราจึงบอกว่าชาติก่อนไม่มี ชาติหน้าไม่มี เหตุผลแค่ว่าเราจำไม่ได้ มันนานเกินไปน่ะเหรอที่จะตอบว่าไม่มีชาติก่อนชาติหน้า พระท่านเทศน์ว่า ถึงแม้ว่าร่างกายของเราจะตายไปก็เพราะมนุษย์จำกัดอายุไขได้เพียงเท่านี้ แต่จิตของเราไม่ตาย จิตของเราจะไปหาที่อยู่ใหม่เลยทันทีหลังจากร่างเดิมตายไป เราไม่มีทางจำพ่อแม่พี่น้องของเราในชาติก่อนได้ก็เพราะร่างที่อยู่ในชาติก่อนนั้นได้ตายไปแล้ว จึงไม่เหลือความทรงจำในรูปของขันธ์ 5 นั่นไม่แปลกอะไรเพราะคนทั่วๆไปก็เป็นเช่นนี้ตั้งแต่เกิดจนตาย แต่สำหรับผู้ที่ปฏิบัติสมาธิจนถึงระดับหนึ่ง อาจไม่ใช่แค่ปฏิบัติเพียงชาตินี้ แต่เขาสะสมมาแล้วหลายภพหลายชาติ เขาจะระลึกชาติได้ว่าเขาเคยทำกรรมอะไรไว้ แต่บางคนการระลึกชาติก็มาทางจิตใต้สำนึก ซึ่งจะออกมาได้ตอนที่เราหลับลึก อยู่ในพวังค์ จิตจะว่าง พวกเราเคยฝันเห็นคนในฝันแล้วเรารู้จักเขามั้ย รู้จักในฝันนะ เคยฝันว่าไปที่ไหนซักแห่งมั้ย ที่ๆนั้นในฝันเรารู้จักดี แต่พอตื่นขึ้นมาเราจำไม่ได้ว่าที่นั่นคือที่ไหน จำไม่ได้ว่าคนๆนั้นเรารู้จักหรือเปล่าหรืออาจไม่เคยรู้จักเลยก็ได้ ถ้าใครเคย นั่นแหละคือความทรงจำลึกๆของเรา มันอยู่ลึกมากๆจนไม่สามารถบังคับให้มันออกมาได้ ทีนี้มีอยู่วันหนึ่งเราเองก็ฝัน ไอ้ที่ว่าฝันแบบที่เล่าให้ฟังเมื่อกี้นั้นก็เคยอยู่แต่ก็เฉยๆ เพราะคิดว่า สมองเราอาจจินตนาการไปเองเพราะดูละครบ่อย ^_^! ทีนี้มันก็มีบางครั้งที่เราฝันถึงอดีตในชาติปัจจุบันนี่แหละ อย่างเช่น ฝันว่าอยู่ที่บ้านหลังก่อนที่จะย้ายมาหลังปัจจุบันบ้าง ฝันว่าเรียนอยู่ที่มหา'ลัยซึ่งตอนนี้ก็จบมาแล้วหลายปีบ้าง แล้วก็เอามาคิดตามที่พระท่านเทศน์ ก็เห็นว่าท่าจะจริงนะ เพราะนี่ขนาดชาติปัจจุบันเรายังเคยฝันถึงอดีตเมื่อสิบยี่สิบปีก่อนได้ แล้วนับประสาอะไรกับชาติก่อนล่ะ มันต้องมีจริงๆอย่างแน่นอนเพียงแต่มันนานมาก หรือไม่ก็ชาติก่อนไม่ได้เกิดเป็นคน อาจจะเกิดเป็นสัตว์บ้าง เทวดาบ้าง อยู่ในนรกบ้าง ซึ่ง 1 วันของนรกสวรรค์นั้นนานเป็นกัลป์เลยถ้าเทียบกับวันบนโลกมนุษย์ เราก็คงจะจำไม่ได้อย่างแน่นอน ก็อุปมาอุปมัยเปรียบไปถึงชาติหน้าได้เลยว่าจะต้องมีอย่างแน่นอน ขนาดชาติก่อนมี ชาติปัจจุบันก็มีอยู่ ชาติหน้าก็ต้องมี ดังนั้นกรรมมันตามเราไปตลอดอย่างแน่นอน และอย่างที่บรรยายไปแล้วในเรื่อง "นิพพาน ใกล้นิดเดียว" ว่าทำอย่างไรจึงจะชนะกรรมของเราได้ มันก็เป็นเหตุต่อเนื่องให้สนับสนุนเรื่องเวรกรรมว่ามันมีจริงติดตัวเราไปทุกภพทุกชาติ แล้วเราควรปฏิบัติตัวอย่างไรให้หลุดพ้นจากกรรมนั้นได้ เพราะเหตุนี้เอง เราจึงเชื่อแน่ว่าชาติก่อนและชาติหน้าต้องมีจริงๆ |