นิพพาน ใกล้นิดเดียว

              ตรงนี้เป็นพื้นที่ระบายสิ่งที่อยู่ในหัวใจและอยากจะบอกทุกคนด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายเกี่ยวกับการนิพพาน ที่พระพุทธเจ้าท่านมีเมตตาสั่งสอนและพระสงฆ์ท่านก็ได้สืบทอดต่อๆมาให้พวกเราได้ปฏิบัติตามกัน มันคือความจริงแท้และแน่นอน อาจยาวสักนิดแต่ลองอ่านดู บางคนคิดว่าเรื่องพุทธศาสนาอ่านแล้วคงเข้าใจยาก เพราะเราเองเวลาอ่านอะไรทำนองนั้นก็ไม่ค่อยเข้าใจเพราะส่วนใหญ่ชอบใช้ศัพท์ทางศาสนา อ่านแล้วก็ต้องไปหาคำแปลต่ออีก แล้วก็เหนื่อย แต่นี่เป็นความเข้าใจที่เราได้อ่านได้ฟังหลักธรรมจนเข้าใจแล้วอยากเอามาถ่ายทอดด้วยภาษาที่คนยุคไอทีเข้าใจง่ายๆ

              นิพพานคืออะไรเหรอ นิพพานในความคิดของเราคือที่นี่เดี๋ยวนี้ คือความไม่คิดไม่ยึดติดอะไรเลย งงมั้ย ที่นี่เดี๋ยวนี้ก็คืออดีตหมาดๆกับอนาคตจวนเจียน(ยืมคำมาจากหนังสือเล่มหนึ่ง เห็นว่าเข้าใจง่ายดี) คือเมื่อใดก็ตามที่เราคิดถึงสิ่งที่ทำมาแล้วสิ่งที่ผ่านมาแล้วไม่ว่าจะเพิ่งผ่านไปเมื่อ 1 วินาทีก่อนนั่นก็คือกำลังคิดถึงอดีต หรือเมื่อใดก็ตามที่เราคิดถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึงนั่นคือกำลังคิดถึงอนาคต ดังนั้นอดีตหมาดๆก็คือไม่ใช่อดีต และอนาคตจวนเจียนก็คือไม่ใช่อนาคต ที่นี่เดี๋ยวนี้ก็คือไม่คิดอะไรเลย อยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงนี้เท่านั้น

              เมื่อเราพยายามทำใจให้เป็นนิพพาน มันจะไม่มีความทุกข์ความสุขอยู่เลย เพราะอะไร ก็เพราะว่า ความสุขความทุกข์นั้นก็มาจากอดีตหรืออนาคตที่เราคิดขึ้นมา ในเมื่อเราไม่คิดเรื่องอดีตหรืออนาคตก็จะไม่มีความทุกข์หรือความสุข แต่เป็นอาการเฉยๆ อาการธรรมดาทั่วๆไป

              ทำไมต้องนิพพานด้วยล่ะ ก็อยู่ไปแบบสุขบ้างทุกข์บ้างจะเป็นไรไป ก็ไม่แปลกหากทำเช่นนั้น แต่สำหรับเราแล้ว ถ้าเราสุขบ้างทุกข์บ้างแบบนั้น เรามองไม่เห็นจุดมุ่งหมายของชีวิตเลย จุดมุ่งหมายสูงสุด จุดมุ่งหมายที่แท้จริง จุดที่พออยู่ตรงนั้นแล้วจะเป็นนิรันดร์ไม่มีขึ้นไม่มีลงไม่มีใกล้ไม่มีไกลไม่มียากไม่มีง่ายอีกต่อไป หากเราสุขบ้างทุกข์บ้างมันก็จะวนเวียนไม่จบสิ้น จุดที่คิดว่าสูงสุดของคนเราคืออะไร ความรวย ความสบายหรือเปล่า แล้วมันใช่หรือเปล่า รวยแล้วจะยังไงต่อ จะเสวยสุขอยู่ตรงนั้นไปจนตายอย่างนั้นหรือ แล้วมันคือความสุขใช่มั้ย หรือหากเป็นความสบาย สบายแค่ไหน สบายแล้วหยุดมั้ย หยุดเลยตรงนี้ จุดที่บอกว่าสบายมีมั้ย เราหาคำตอบไม่เจอ แต่เมื่อเราได้อ่านได้รับรู้ ได้เพิ่มความสนใจให้ตัวเองเกี่ยวกับพุทธศาสนา เราพบว่า นี่แหละคือคำตอบ คำตอบว่าทำไมเราจึงวนเวียนอารมณ์อยู่แบบไม่สิ้นสุด และคำตอบว่าทำอย่างไรจึงจะหลุดออกมาจากวงเวียนนั้น นั่นคือการมุ่งสู่นิพพาน

              ทีนี้มาดูว่าความทุกข์ความสุขมาจากอะไร จะไม่กล่าวก็ไม่ได้เพราะมันเกี่ยวเนื่องกับการทำให้ไปสู่นิพพาน ความทุกข์ความสุขก็มาจากทุขเวทนากับสุขเวทนา ทุขเวนาคือเราพยายามปรุงแต่งความคิด หรือคิดในเรื่องที่เป็นทุกข์ ส่วนสุขเวทนาคือพยายามปรุงแต่งความคิดให้มันเป็นความสุข ถ้าเราพยายามคิดตามว่าปรุงแต่งจริงไหมก็เห็นจะจริง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเห็นคนๆหนึ่งเราจะรู้สึกอย่างไร คำตอบคือเฉยๆ แต่ถ้าคนๆหนึ่งนั้นเป็นคนที่เราเกลียดล่ะ เราจะรู้สึกอย่างไร คำตอบคือตอนแรกที่ว่ารู้สึกเฉยๆก็ไม่เฉยแล้ว แต่จะรู้สึกเกลียดไม่ชอบไม่อยากเห็นหน้า แล้วถ้าคนๆนั้นเป็นคนที่เราชอบล่ะเรารู้สึกอย่างไร ไอ้ที่เฉยเมื่อตอนแรกนี่ก็จะกลายเป็นชอบทันที ทั้งหมดนี้เราเป็นคนปรุงแต่งมันทั้งหมดเลยใช่ไหม

              เห็นไหมว่าเรากำลังเล่นอยู่กับอะไร ทุกข์ๆสุขๆ สุขๆทุกข์ๆ วนเวียนอยู่อย่างนี้จนชั่วชีวิตเลย ที่ยกตัวอย่างไปข้างต้นนี้ไม่ได้ใช้แค่กับคน แต่ใช้ได้กับสัตว์ สิ่งของหรือเหตุการณ์ก็ได้ อาการเหล่านี้แหละคือทุขเวทนาและสุขเวทนาแต่พยายามอธิบายให้เข้าใจกันง่ายๆ ถ้าเราคิดว่านิพพานยากเกินไปก็ขอให้มองแค่ทุขเวทนากับสุขเวทนาก่อนก็พอ หมายความว่า ขอให้เรามองมันให้ทะลุ คือมองให้ออกว่านี่คือทุกข์นี่คือสุข ให้มองมันอย่างเดียวอย่าเอาตัวเอาใจเข้าไปจมอยู่กับมัน อย่าลืมว่ามันอยู่กับเราไม่นานเพราะมันคือคำว่า "ทุกข์ๆสุขๆ สุขๆทุกข์ๆ" ถ้าเรามองเพียงเท่านี้ก็ถือว่าเป็นมนุษย์โลกที่ "อยู่เป็น" แล้วล่ะ

              ทีนี้พอเราคิดเรื่องทุขเวทนาและสุขเวทนาได้แล้ว พระพุทธเจ้าท่านก็มีหลักคำสอนเยอะแยะมากมายให้เราได้นำมาปฏิบัติตามเพื่อให้ถึงนิพพาน ขอยกตัวอย่างหลักคำสอนเรื่อง ขันธ์ 5 ขันธ์ 5 ก็คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้วมันจะเอาไปใช้กันได้ยังไงกับนิพพาน จะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ

1. รูป ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น สัมผัส หรืออะไรทั้งหลายแหล่ที่เรามองเห็น จับต้อง ลิ้มรส สัมผัสได้ เป็นช่องทางที่ให้ความทุกข์ความสุขเกิด ไม่ได้มีแค่ที่บอกนะ เอาอย่างนี้ก็แล้วกันให้เข้าใจง่ายๆ

2. เวทนา คือความรู้สึก เช่น รัก ชอบ เกลียด เฉย ประมาณนี้

3. สัญญา คือความจำ ความทรงจำ อย่างที่ยกตัวอย่างไปตอนต้นว่าเราชอบคนนี้ เราเกลียดคนนี้ ก็คือเราจำได้ว่าคนนี้ทำอะไรกับเรา เสร็จแล้วเราก็เลยรู้สึกชอบหรือไม่ชอบก็แล้วแต่ว่าเราจำได้ว่าเขาเคยทำอะไรกับเรา เป็นต้น

4. สังขาร คือความคิด คิดโน่นคิดนี่ คิดว่าจะอย่างนั้นคิดว่าจะอย่างนี้ คิดว่าคนนี้ดีคนนี้เลว พอคิดว่าคนนี้ดีก็ชอบคนนี้ พอคิดว่าคนนี้เลวก็เกลียดคนนี้ แล้วแต่เราจะปรุงแต่ง

5. วิญญาณ วิญญาณไม่ใช่ภูตผี วิญญาณก็คืออาการที่เรารับรู้รับทราบสิ่งต่างๆได้นี่แหละคือวิญญาณ เมื่อรูป รส กลิ่น เสียง ที่เห็น ได้ยิน ปรากฏ แล้วเรารับทราบมันได้นี่แหละก็คือวิญญาณ ถ้าไม่มีวิญญาณ เราก็ไม่มีทางรับรู้รูป รส กลิ่น เสียง หรือสัมผัสอะไรได้เลย

              พอเรารู้แล้วว่าขันธ์ 5 คือตามที่กล่าวไปข้างต้น เราก็จะเข้าใจว่าเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เข้าใจว่าทำไมเป็นอย่างนั้นทำไมเป็นอย่างนี้ ก็เพราะเรามีขันธ์ 5 นั่นเอง มันอยู่กับเราเป็นเสมือนสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดจนแยกไม่ออก พอรับรู้เรื่องขันธ์ 5 แล้วมาได้คิดตามจึงได้เข้าใจว่า อ๋อ คนเราเป็นอย่างนี้นี่เอง แล้วลองดูดีๆ ขันธ์ 5 นี่แหละคือตัวที่ทำให้เกิดทุขเวทนาและสุขเวทนา ดังนั้นการที่จะทำให้เกิดนิพพานคือที่นี่เดี๋ยวนี้ก็คือพยายามเข้าใจขันธ์ 5 คือมีสติรู้ แล้วไอ้สติรู้นี่แหละมันจะก่อให้เกิดเหตุและผลขึ้นมาเอง ผลมีผลเดียวคือนิพพาน พอเราคิดว่านิพพานทำอย่างไร ทำอย่างไรให้เป็นที่นี่เดี๋ยวนี้ก็คือไม่ให้เกิดการคิดถึงอดีตอนาคต ไม่ให้ทุกข์ไม่ให้สุข ก็ไปดูที่ขันธ์ 5 ทำอย่างไรให้ไม่รู้สึกรูป ก็คิดตามที่พระสงฆ์ทุกองค์เทศน์ทำนองเดียวกันคือ คนเราสวยแค่ไหนหล่อแค่ไหนมันก็มีของเน่าของเหม็นอยู่ในร่างกาย ต้องปล่อยออกทุกเมื่อ เทียบกับตัวเราเองก็ได้ ตัวเราเองนี้ก็มีการสะสมของเน่าของเหม็นก็ไม่ต่างกับคนอื่น และคนเราเกิดมาแล้วก็ต้องตาย ทุกสิ่งไม่คงทน ที่สวยๆหล่อๆก็จะแก่ ที่เคยดีๆก็อาจเลวได้ ที่เคยเลวก็อาจดีได้ ไม่อยู่ถาวร พอคิดได้ดังนั้นก็จะค่อยๆตัด ตัดเลยทันทีได้มั้ย ตอบว่าไม่ได้แน่นอน ถ้าคิดปุ๊บตัดปั๊บนั่นคือพระอรหันต์ แต่เราคือมนุษย์ธรรมดา ค่อยๆตัดไปทีละน้อยจนเกิดความเคยชิน และทำเช่นนี้ในแบบเดียวกับ ขันธ์อีก 4 ที่เหลือ ถามว่าตัดทีเดียวได้มั้ย ได้ เช่น พอเริ่มตัดรูป ก็จะเริ่มไม่มีความรู้สึกรัก ชอบ เกลียด เฉยแล้ว จะเห็นเป็นธรรมดา มองอะไรก็ธรรมดา นั่นคือตัดเวทนา พอตัดรูปตัดเวทนาเราก็จะไม่จำไปเอง เพราะเราไม่ได้ใส่ความรู้สึกอะไรกับใครหรือกับอะไรก็เลยไม่จำ ก็คือตัดสัญญา พอตัดรูป เวทนา สัญญา นั่นคือเราไม่คิด ทุกอย่างมันเกิดขึ้นพร้อมกัน เราไม่คิดก็เลยไม่มีรูป ไม่คิดก็เลยไม่มีเวทนา ไม่คิดก็เลยไม่มีสัญญา การไม่คิดก็คือไม่มีสังขาร และพอเราไม่สนใจขันธ์ทั้ง 4 พออะไรมากระทบก็ผ่านไปไม่ยินดียินร้าย นั่นก็คือธรรมดานั่นแหละคือไม่มีวิญญาณ พอไม่มีตัดหมดแล้วก็จะเหลือแค่ที่นี่เดี๋ยวนี้

              เมื่อเรามองทุกอย่างเป็นธรรมดา มองทุกอย่างเป็นที่นี่เดี๋ยวนี้ มันก็จะไม่มีช่องว่างให้กรรมเกิดผล เพราะเมื่อมีกรรมเกิด ไม่ว่าจะกรรมดีหรือกรรมไม่ดี กรรมก็มาจากขันธ์ 5 ของคนสัตว์สิ่งของที่เราเคยมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันไว้น่ะแหละ เราจะรู้เรามองดูได้ เราเห็นได้ เราบอกว่า โอ! นี่แหละ มันเป็นอย่างนี้แหละ เพราะทำอย่างนี้มันจึงเป็นอย่างนี้ เราคุยกับคนนี้เราจึงรู้จักคนนี้ เราจึงชอบคนนี้เราจึงเกลียดคนนี้ ทุกอย่างมีเหตุมีผลหมด เราพบเราเจออะไรก็จะเห็นเป็นธรรมดา เปรียบเหมือนเวลาเราโกรธสุนัข สุนัขมันมากัดรองเท้า มันกัดเพราะอะไร เราเคยไปเหยียบหางมันมันเลยแก้แค้นมากัดรองเท้าเราอย่างนั้นหรือ ก็ไม่ใช่ แล้วเราไปด่ามัน มันรู้ความหมายมั้ย เราตีมันได้ แต่เราตีเพราะเราโกรธ ไม่ได้ตีให้มันสำนึก เพราะมันไม่รู้ มันไม่เข้าใจ ก็เหมือนว่าเราตีไปมันก็ตายเปล่า ก็เช่นเดียวกัน เปรียบกรรมเป็นเรา แล้วเราเป็นสุนัข เราอาจรู้หรือไม่รู้ก็ได้ว่ามันมีเหตุอะไรทำไมจึงเกิดผลอย่างนี้กับเรา ทำไมจึงโชคร้ายจัง ที่อธิบายไปตอนแรกว่าเรารู้จักขันธ์ 5 แล้วจะรู้ว่าผลอะไรเหตุอะไร แต่เพราะกรรมมันสะสมกันเป็นภพเป็นชาติ เราเลยจำไม่ได้ว่าเคยทำอะไรไว้ ก็เหมือนกับว่าสุนัขมันมาเอารองเท้าเราไปเล่นโดยที่ไม่เคยโกรธเคืองเรามาก่อนก็คือกรรมมาเล่นงานเราแต่เราจำไม่ได้ว่าเคยทำอะไรใครไว้มาก่อน ถ้าเราตีสุนัขก็เหมือนกับว่าเราไปทุกข์ร้อนหรือเราไปยึดติดกับความสุข แต่ถ้าเราเข้าใจและคิดใหม่ เราไม่รับรู้ เฉยๆ เราไม่สุขไม่ทุกข์ไปกับมันเพราะรู้ว่าหากเราตีสุนัข มันก็ตายเปล่า เราเองก็เหนื่อย และสุดท้ายเมื่อเราทำให้มันเป็นธรรมดา อยู่กับที่นี่เดี๋ยวนี้ กรรมมันก็เล่นงานไปเปล่าๆไร้ประโยชน์ กรรมทำอะไรเราไม่ได้ นี่แหละคือนิพพาน แล้วเราก็จะไม่ต้องเกิดอีก จะหลุดพ้นแบบพระพุทธเจ้าซึ่งท่านได้ทำเป็นตัวอย่างแล้ว

              เห็นมั้ย พอรู้ขันธ์ 5 ก็ทำให้เกิดนิพพานได้ ที่กล่าวมาจริงๆแล้วทำยาก แต่ก็ไม่เกินความสามารถของมนุษย์ ไม่ไกลเกินไป ไม่มีพระนักเทศน์องค์ใดเลยที่บอกว่านิพพานเป็นเรื่องไกล คนธรรมดาทำไม่ได้ ท่านจะบอกว่าทำได้ ถ้าเราหัดฝึกปฏิบัติ หนทางที่จะทำให้ไปถึงนิพพานมีหลายอย่าง แต่อย่าฮวบฮาบอย่ารีบร้อน อย่าคิดว่าเราทำได้แล้วเราจะไม่เกิดอีก ยังไงมันก็ต้องเกิดเนื่องจากคนเรามีกรรม ต้องเกิดมาชดใช้กรรม แล้วไม่ได้เกิดแค่ชาติสองชาติ แต่เกิดเป็นแสนๆชาติ แล้วแต่กรรมจะพาไปเกิด แต่การนิพพานนี่แหละที่กรรมจะทำอะไรเราไม่ได้ เพราะเรารู้เราเข้าใจทุกอย่าง นี่แหละนิพพานที่อยู่ไม่ไกลเลย


ปล. เป็นความเข้าใจส่วนบุคคล อาจเห็นต่างกัน ขึ้นกับประสบการณ์ชีวิตของท่าน