++ EZE++ " มุมอันเงียบสงบที่ถูกซ่อนไว้ในเทือกเขาแอลป์ แห่งเมืองนีซ "++

 

บันทึกการเดินทางนี้ตั้งใจทําให้เพื่อ "ชม"

 

ใครหลายคนมักจะคิดว่า เมืองนีซ มีดีแค่ทะเลและแสงแดด ซึ่งเป็นที่พักตากอากาศที่มีชื่อเสียงของฝรั่งเศส รู้จักกันทั่วในชื่อของ "เฟรนช์ริเวียร่า"

แต่จริงๆแล้ว เมืองนี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนานมาก และนักท่องเที่ยวจากเอเซียอย่างเราน้อยคนจะรู้จักหมู่บ้านเอซ หรือ EZE ในภาษาฝรั่งเศสหรือ EZA ในภาษาอิตาเลี่ยนแห่งนี้

ทริปนี้พี่มาเที่ยวกับเพื่อนชื่อ Toke ที่รู้จักกันในพันทิพแห่งนี้ ภาพที่ถ่ายเป็นภาพที่ Toke และพี่ช่วยกันถ่ายมาลงเพื่อเป็นแนวทางให้เพื่อนที่จะมาเที่ยวแถบฝรั่งเศสตอนใต้ได้ใช้เป็นไอเดีย เวลาจะมาท่องเที่ยวแถบๆนี้ และไม่ควรที่จะพลาดมาหมู่บ้านแห่งนี้ครับ

หมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้สามารถเดินทางมาได้ง่ายดายจากตัวเมืองนีซที่ชุมทางรถบัส Gare Routiere โดยขึ้นสาย 82 หรือ 112 ราคาค่าโดยสารเที่ยวละ 1.30 ยูโรครับ

ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ในเส้นทางที่สามารถต่อไปยังประเทศโมนาโกได้ครับ  ทางหน้า village Eze แห่งนี้จะมี The devil's bridge เหมือนทําให้เราต้องผ่านสะพานของซาตานก่อนจะพบสรวงสวรรค์ที่ข้างหน้า

EZE ได้ชื่อว่าหมู่บ้านเล็กๆอันเก่าแก่ ที่อุดมไปด้วยต้นมะกอก และวิวอันที่สวยงามริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ที่นี่ต่อมากลายเป็นที่พักผ่อนของพวกราชนิกูล ศิลปิน และกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของคนจากทั่วทุกมุมโลกในปัจจุบัน

หมู่บ้านนี้มีกำเนิดมาจากที่พักของพวกคนป่า เมื่อ 2 พันปีก่อนคริสตกาลมาแล้วครับ โดยสร้างอยู่บนเทือกเขาสูง ที่อยู่ติดทะเล ต่อมาเมืองก็ถูกครอบครองโดยชาวโรมัน และสร้างเป็นป้อมปราการอยู่บนภูเขา เพื่อให้มองเห็นข้าศึกได้แต่ไกล

เมื่อย่างก้าวเข้าสู่เขตเมืองเก่า จะเห็นว่าตัวสิ่งก่อสร้างล้วนสร้างมาจากหินภูเขา เกาะเกี่ยวไปตามภูมิประเทศที่มีแต่เทือกเขาสูงครับ

ตัวอาคารบ้านเรือนจะเรียงรายอยู่ไปตามทางเดินหิน มีจํานวนมากที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นร้านค้าเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวครับ

ทางไปชาโตว์ที่ปัจจุบันเป็นโรงแรมน่ารักที่แสนแพง แพงสุดๆเลยครับ

ตรงส่วนนี้ปัจจุบันก็กลายเป็นโรงแรมไปแล้วครับ

ความน่ารักของบ้านในสไตร์โปรวองซ์-แอลป์เมอริทามส์ ในช่วงคริสต์มาส

ตัวตึกส่วนใหญ่เป็นหินฉาบแบบหยาบๆ ทาสีขาว สีเหลืองหรือชมพูอ่อนๆ และบ่งบอกถึงความเก่าแต่ก็ดูมีเสน่ห์มาก

ช่างพิถีพิถันสิ่งเล็กๆน้อยๆ

ตามทางเดินแม้จะแคบ แต่ก็มีความเป็นระเบียบไม่มีสายไฟรกรุงรังเลย

ทางเดินที่ลัดเลาะขึ้นไปยังยอดเขาด้านบน

บางส่วนเป็นบ้านที่สร้างขึ้นใหม่ แต่เขาก็ยังคงรักษารูปแบบทางสถาปัตยกรรมแบบเดิมๆไว้เพื่อให้กลมกลืน ไอเดียดูดีนะ

บ้านคนที่นี่บอกได้เลยว่า ฐานะเจ้าของไม่ธรรมดาแน่นอน

ความสวยของดอกไม้ที่ทอดเลื้อยไปตามตัวตึก

บางมุมของหมู่บ้านแห่งนี้ก็เป็นที่หลบพักมาวาดภาพของศิลปิน เป็นเช่นนี้มาหลายยุคหลายสมัยแล้ว

ชอบทางเดินเล็กๆที่ปูด้วยหินแกรนิตก้อนเล็กๆแบบยุโรป แล้วมีบ้านเรือนร้านค้าสองข้างทาง ดูเหมือนเราย้อนกลับไปยังยุคกลางมากๆครับ

เจ้าตูบนอนสบายในช่วงอากาศดีก่อนคริสต์มาสไม่กี่วันครับ

ร้านนี้เป็นร้านขายน้ำมันมะกอกซึ่งเป็นสิ่งที่มีชื่อเสียงมากในแถบเมดิเตอร์เรเนียน

ตากเสื้อๆ สีเหลืองสลับฟ้า สีที่นิยมมากๆในแถบนี้

สัญลักษณ์แห่งการเฉลิมฉลองประดับประดาไปทั่วเมืองในช่วงที่ไป

เมืองนี้ตั้งอยู่ในเขตของ Cote d'Azur Alpes Meritime ที่ตั้งชื่อเสมือน เมืองที่อยู่ริมขอบฟ้า เป็นที่บรรจบระหว่างขอบของฟ้าและขอบของท้องทะเล

อากาศ และแสงแดดยังคงดีตลอดปี แม้ในยามใกล้คริสต์มาสแล้ว

ระฆังก็มักจะมีทุกเมืองในแถบยุโรป

ต้นไม้เกาะเลื้อยไปตามแนวตึกที่เป็นโบสถ์

ร้านขายของที่ระลึกน่ารักๆ ที่ราคาไม่ค่อยจะถูกเท่าไหร่

ตุ๊กตาแม่มด VS โปสการ์ดส่งความสุข

โบสถ์ใหญ่ที่อยู่ด้านบนของ Village ครับ

ตัวโบสถ์สร้างอยู่ริมด้านข้างของภูเขา มองลงไปเห็นพื้นราบได้ตลอดทั้งเมือง

แม้ชมไม่ได้มาเห็นด้วยตัวเอง แต่พี่ก็พยายามนําภาพสวยๆมาให้ชมนะครับ

 

สวัสดีปีใหม่ครับ

คิดถึงมากๆครับ

พี่โจ