คนเล่าเรื่อง    :  ชบาแก้ว

คนเติมสี       :  ปะการังสีม่วง

คนเก็บภาพ    : น้ำนิ่งไหลลึก & ชบาแก้ว

 

เด่นทัวร์ ตอน..ขุนศึกตระกูลหยางตะลุยพะโต๊ะ II

 

วันอาทิตย์ที่ 9 กรกฎาคม 2549

 

สถานีหลังสวน ตีห้าฝ่าๆๆ (หน้าตาง่วงกันเชียว)

 

เช้าวันที่ 9 ก.ค. ..ประมาณตีห้านิ้ดๆๆ..พอรถไฟจอดนิ่งสนิทอยู่ที่สถานีนึง..พวกเราตาลีตาเหลือกเด้งจากที่นอน...เพราะเวลาตามตั๋ว..บ่งบอกชัดเจนว่า ต้องถึงสถานีหลังสวนแล้ว

ด้วยความที่ตู้นอนของเราอยู่ห่างไกลจากป้ายสถานีเป็นอันมาก (อยู่ท้ายๆขบวนอ่ะ) ..โผล่หน้าออกมา..ก็มองไม่เห็นว่า รถไฟจอดอยู่สถานีไหนกันแน่??

เหลือบมองไป..ก็เห็นผู้คน(โดยเฉพาะชาวต่างชาติ)แบกสัมภาระลงรถกันเยอะแยะ (อยากมีส่วนร่วมกับเค้าสุดฤทธิ์) .. โอ้ย! ตายล่ะ! คราวนี้ยิ่งสับสนไปกันใหญ่

ทันใดนั้น.. ตัวช่วยก็มาทันเวลา..พี่คนทำที่นอนเห็นเลิ่กลั่กกันเหลือเกิน..ก็เลยเดินมาบอกว่า อีก 20 นาทีนะ..ถึงจะถึงหลังสวน แหม...เกือบแล้วเชียว

ตอนถึง สถานีหลังสวน ..ท้องฟ้ายังไม่สว่างด้วยซ้ำ.. พี่แจ่มกับพี่นรินทร์ ไกด์หนุ่ม(น้อย)จากหมู่บ้านคลองเรือ..มายืนรอพวกเราอยู่ที่สถานีแล้ว
พวกเราขนสัมภาระขึ้น
ราชรถเปิดประะทุน ที่มารอรับ(ดูรูปข้างล่าง) .. ออกเดินทางสู่ หม่บ้านคลองเรือ
 

 

จากสถานีรถไฟ..พี่แจ่มกับพี่นรินทร์พาพวกเราแวะมาเติมพลังกันที่ตลาดเช้าของอำเภอหลังสวน

ตอนแรกพี่เค้านำเสนอข้าวแกงเชียวหละ..แต่ทุกคนลงความเห็นว่ามันคงจะหนักไปสำหรับพวกเรา..

ดังนั้นเราจึงหันเหไปกินกาแฟและซาลาเปาแทน พอเดินผ่านร้านข้าวเหนียวหน้าต่างๆ..น่ากินเชียว...

ไม่พูดพร่ำทำเพลง..ข้าวเหนียวทุกหน้า ก็มาอยู่บนโต๊ะกาแฟเราเลย...

บ้างก็ชอบหน้ากุ้ง..บ้างก็ชอบหน้าสังขยา..ก็อืมมม...ตามอัธยาศัยหนะนะ

พออิ่มหนำสำราญแล้ว..พี่ไกด์ที่น่ารักของเรา

ก็ ชักชวนกึ่งขู่ ให้ไปซื้อรองเท้าบูท เพื่อใช้เดินป่า (กันทาก) ...

ณ ตอนนั้นยังไม่มีใครสามารถประเมินสถานการณ์ได้ว่า..

เราต้องเจอะเจอสภาพป่าแบบไหน...

การตัดสินใจ..จึงขึ้นอยู่กับ ความหวาดหวั่นในใจ ของแต่ละคน

ดังนั้น..จึงมีคนที่ซื้อรองเท้าบูท..ไม่กี่คน..

..เหอะ!!.. ไม่อย่าบอกเลยว่า มันช่วยเราได้จริงๆนะเจ้าบูทเนี่ย!”

 

 

พอเลือกอุปกรณ์เสริมเรียบร้อยแล้ว

เราก็พร้อมออกเดินทางเสียทีโดยพาหนะเปิดประทุนที่แสนสบายของเรา

(สบายแค่ไหน..ก็ทัศนาจากรูปได้เล้ย)

 

 

 

แต่เอ๊ะ! ...มีรถมาขวางเรา...ทำงัยดีเนี่ย...

ว่าแล้ว .. พี่เชอร์รี่กับพี่เด่นก็ออกปฏิบัติการซะเลย..

แหม.....ก็ไม่ได้ล็อคประตูรถไว้นี่ประหลาดจริงเชียว.....

 

ว่าแล้วด้วยคำสั่งซูสีเชอร์รี่..

อาเฮียก็กระโดดขึ้นรถปลดเบรคมือซะงั้น...

พอเอารถออกมาได้

เราก็เผ่นหนีแทบไม่เห็นฝุ่นเชียวแหละ ..

 

 

 

จากอำเภอหลังสวน .. พวกเรามุ่งหน้าไปยังอำเภอพะโต๊ะท่ามกลางความมืดครึ้มของเมฆฝน...
ตลอดเส้นทางที่ทอดยาวสู่อำเภอพะโต๊ะเราได้พบกับขุนเขาที่สูงตระหง่านและอุดมสมบูรณ์ด้วยป่าไม้ที่เขียวขจีไปตลอดสองข้างทาง
รวมไปถึงเมฆฝนที่ลอยต่ำลงมา..จนเราแทบจะสัมผัสกับมันได้ ..

ขณะที่กำลังอิ่มเอมกับบรรยากาศแสนสบายยามเช้าอยู่นั้น .. สายฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา..ให้ความชุ่มฉ่ำอยู่เป็นระยะๆ
Text Box:  พวกเรา..ก็เดี๋ยวถอด..เดี๋ยวใส่เสื้อกันฝน..อยู่นั่นแหละ .. จนพี่จอมของเราบอกเราว่า
ใกล้ถึงทางเข้าหมู่บ้านคลองเรือแล้ว..ฝนจะตกแบบนี้ตลอดเลย .. ใส่ชุดกันฝนไว้เลยดีกว่า 
เท่านั้นแหละ..พวกเราก็งัดอุปกรณ์กันฝนประกอบกันชุลมุนพร้อมกับสายฝนที่ตกกระหน่ำลงมาอย่างไม่เกรงใจ ..

 

 

 

ในที่สุดเราก็มาถึงจนได้ บ้านคลองเรือ ซึ่งเป็นสถานที่เราจะต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใน 3 วันนี้
ก่อนอื่นเราก็เป็นเด็กดีหนะนะไป-ลา-มา-ไหว้กันนิดนึง
แต่เอ๊ะพี่อิ๋วแอบทำอะไรอยู่หนะทำไมยังไม่ธุจ้า....แหมที่ไหนได้
!...จริงๆแล้วพี่อิ๋วเค้าไหว้ก่อนคนแรกเลยนะเนี่ย...ช่างงามอย่างไทยกันจริงๆ......

 

 

พอมาถึงพวกเราก็นั่งๆนอนๆอยู่แถวศาลากลางหมู่บ้านอยู่พักใหญ่เพื่อรออีกกลุ่มที่จะมาในวันนี้เช่นกัน
แต่รอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอ...ถ่าย(รูป)โน่นถ่าย(รูป)นี่..จนเริ่มง่วงอีกรอบ (ตอนแรกก็ดูกระตือกันดีอยู่หรอก)
พอใกล้เที่ยงอาหารมื้อแรกที่คลองเรือก็เริ่มทยอยออกมาให้เราน้ำลายสอ ..

คราวนี้ทุกคนก็เริ่มกระตือรือร้นขึ้นมาอีกครั้งเพราะมีกิจกรรมทำแล้ววว....นั่นก็คือการกินงัย
!......
ขอบอกว่าผักกูดที่นี่อร่อยมั่กมาก
 ....เพราะสดและอ่อนจริงๆ.. แต่อาจแตกต่างจากหญ้าอ่อน
(อันนี้..ครายชอบก็ม่ะรู้)ไปบ้างนะจ๊ะ..ฮิฮิ...
มื้อนี้ปรากฎว่าทุกอย่างราบเป็นหน้ากองเหมือนจานเหล่านี้ไม่เคยใส่อะไรมาก่อนเลย
แต่อาหารมื้อนี้อาจสร้างความลำบากบ้างไม่น้อยสำหรับผู้ที่ทานรสจัดไม่ได้..สำหรับผู้ที่ทานเผ็ดได้..ไม่อยากบอกเลยว่าอร่อยเหาะไปเล้ย
!....

 

 

เมื่อท้องอิ่มเหล่าไกด์ของเราก็กลัวว่าเราจะเบื่อ (หรือกลัวจะแอบหลับก็ไม่รู้)
ก็หากิจกรรมให้ทำโดยการให้เราไปเรียนรู้การทำเกษตร 4 ชั้น
ที่เราสงสัยกันว่ามันคืออะไรกันนะ
ระหว่างทางเดินไป..เหล่าสาวๆรองเท้าบูททั้งหลาย..
ก็ขอโชว์ศักยภาพของบูทของเธอซะหน่อยเถอะนะ
แต่..เป็นงัยหละ..ขนาดใส่บูทเดินย่ำโคลน..
พี่แกยังเขย่งปลายเท้าหนีโคลน..เพราะกลัวเลอะอยู่เลย....
แต่ได้ยินแว่วๆจากพี่อิ๋วมาว่า.
เหยียบไปเลย..โชว์หน่อย..โชว์หน่อย....

                                                                                          

อีกมุมหนึ่ง...ระหว่างที่สาวๆ กำลังสรวญเสเฮฮา
กับการทดสอบศักยภาพของรองเท้าบูทอยู่..
คุณพี่เด่นกับพี่เชอร์..แกก็ง่วนกับของเล่นใหม่อยู่...
นั่นคือจักรยานที่ชาวบ้านเค้าใช้ปั่นเพื่อลดน้ำหนัก
!....
เฮ้ย
! …ไม่ช่ายย...เป็น จักรยานรดน้ำต้นไม้
แต่คุณพี่เด่นแกปั่นเท่าไหร่น้ำก็ไม่ไหล..(ม่ายมี
น้ำยา ซะงั้น)
เอ้า
! .. ที่แท้ท่อมันหลุดนั่นเอง...ฮ่าฮ่าฮ่า....

 

                                                                                                       

        

จุดหมายปลายทางที่จะไปเยี่ยมชม เกษตรสี่ชั้น คือ บ้านพี่ชัยรัตน์ .. ต้นตำรับเกษตร 4 ชั้น
แอบเห็น
โฮมสเตย์ หลังน้อยน่ารักของบ้านพี่ชัยรัตน์ .. เราไม่ได้พักที่นี่หร้อก .. แต่..วิญญาณนางแบบไม่เข้าใครออกใคร

ดังนั้น.....นางแบบของเราก็เลยเริ่มเดินแบบกันเลย...รูปนี้เหมือนพี่อิ๋วขึ้นไปตรวจความเรียบร้อยแล้ว .. กำลังบอกกับทุกคนว่า โอ...จ้า...

 

                                                                                                                                                                           

พี่ชัยรัตน์ นำชม เกษตรสี่ชั้น พร้อมอธิบายความเป็นมาเป็นไปอย่างละเอียดละออ
Text Box:  ซึ่งทุกคนก็ดูตั้งอกตั้งใจฟังและเก็บข้อมูลกันเต็มที่เชียววว......(เด๋วมี “Post Quiz นะเออ) ..

พี่ชัยรัตน์อธิบายยังไม่ทันขาดเสียง .. มีเสียงแว่วๆลอยมาว่า เอ..เกษตรสี่ชั้น เนี่ยมันอารายเหรอ? .. เฮ้อ..ถ้ามีสอบจริง จารอดมั๊ยเนี่ย?? ..

 

พอถึงฝายน้ำล้นตรงนี้ .. เหล่าสาวรองเท้าบูททั้ง 3 รวมกับอีกหนึ่งหนุ่มผู้กล้าใช้ผิวกายเธอลุยก็ลงไปแสดงแสนยานุภาพในการย่ำในน้ำแล้วถ่ายภาพซะเลย...
สังเกตให้ดีว่า..เธอทั้งหลายแอบกระหยิ่มยิ้มย่องแกมเยาะเย้ย ...
เป็นงัยหละ ..ไม่มีรองเท้าบูท..ลงไม่ได้หละสิ ..พวกหล่อนหนะ!!!” ฮ่าฮ่าฮ่า.......

 

 

พอขากลับก่อนเข้าที่พัก
เราก็ดูสาธิต
การร่อนแร่ดีบุก โดยใช้ เลียง .....

 

 

Note : เลียง ทำด้วยไม้ น้ำหนักเบา
            มีลักษณะคล้ายกระทะ (ตามรูปเลยจ๊ะ)

 

 

 

 

 

โปรดสังเกตดูแร่ในเลียงฝีมือไกด์ (ดีบุกล้วนๆๆ)
กับฝีมือ
คุณพี่เด่น (ทรายเพียบ!!!)

 

 

หลังจากพาเดินเล่น..ชมเกษตรย่อยอาหารกันพอสมควร  .. และแล้ว..  ก็ถึงเวลาผจญภัยจริงๆแล้วววว.....
วันนี้เราจะเดินทางไป
น้ำตกเหวตาจันทร์ ..

ก่อนไป.. พี่ไกด์ก็บอกกึ่งขู่สุดฤทธิ์ เกี่ยวกับ ฤทธิ์เดชของทาก และ หนทางที่เราต้องไปเจอ ....
พวกเราก็เลยเตรียมตัวกันสุดฤทิ์เช่นกัน...ทั้งรองเท้าบูทราดกรด..ทั้งถุงกันทาก...
และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ.....เสื้อกันฝน
(เฉพาะคนที่เตรียมมา) .....เพราะฝนตกตลอดเวลาเลยหละ

พี่ไกด์พาพวกเราเดินผ่าน ทางเดินเท้า .. ขึ้นเขา .. เดินผ่าฝ่า ป่าสวนยาง (ย้ำฝ่าสวนยางจริงๆๆๆ)
พร้อมๆๆ กับลุยผ่านทางที่รกร้างมา 1 ปี เพราะพวกเราเป็น
กลุ่มแรก ของฤดูท่องเที่ยวปีนี้
ก้อพอผ่านสวนยางได้หน่อย..พี่ไกด์เดินไปฟันไป (กิ่งไม้รกร้างที่ขวางทาง)....
เดินกันมาเป็นนาน..ไม่ถึงสักที.. โอ้โห
!มันช่างเป็น เที่ยวน้ำตก ที่ยากลำบากเหลือเกิน
.. ฝนก็ตก.. พื้นก็ลื่น.. รองเท้าบูทก็กัดซะงั้น .. แถมยังมีทากให้คอยเป็นกังวลอีก...เฮ้อ ..

                                                                                                                                                                                                              

.. ในที่สุด พวกเราก็มาถึงน้ำตกเหวตาจันทร์จนได้....เป็นน้ำตกที่ใหญ่และสวยจริงๆ
ที่มาของชื่อน้ำตก.. ก็คือ
คุณตาจันทร์ (ปัจจุบันก็ยังอยู่) มาหาของป่าแถวๆน้ำตกนี่แหละ .. เดินอีท่าไหนก็ไม่ทราบได้ .. พลาดหล่นตุ๊บน้ำตกลงมาซะงั้น ..
แรกๆๆ ชาวบ้าน ก้อคงจะเรียกว่า
น้ำตกเหวที่ตาจันทร์ตกลงมา ... เรียกไปเรียกมา...ก้อเหลือแค่ น้ำตกเหวตาจันทร์ นี่เอง (มั้ง) ..เหอะ เหอะ
แต่.. น่าเสียดายเพราะถ่ายภาพมาได้ไม่มาก เพราะวันที่พวกเราไป..ฝนตกตลอด และโขดหินบริเวณนั้น เหยียบทีก็ลื่นปื้ดลื่นปื้ดตลอด..
เหล่าขุนศึกต้องงัดวิทยายุทธทุกกระบวนท่ามาใช้ เพื่อการพยุงตัวให้อยู่ .. แต่ก้อยังทำให้กระดูกกระเดี้ยวของเหล่าขุนศึกแทบแย่กันเลย...
แต่กระนั้นก็ตาม..เหล่าขุนศึกในคราบนางแบบ..ยังไม่ละความพยายามที่จะถ่าย(รูป)กันอยู่ดี ....(สังเกตให้ดีว่าทุกคน
Full Option..อุปกรณ์เพียบ! เหมือนณภัทธในอุ้มรักกันเชียว..)
ยกเว้น
คุณพี่เด่น ที่เธอยังคง concept เดิม..คือ..น้อยชิ้นสุดๆ (เพื่อเป็น control .. ให้มันรู้กันไปเลยว่า ทากจะสนม๊ะ??)…..
จนแล้วจนรอดวันนี้ก็ยังไม่มีใครพบเจอกับน้องทากกันจริงจัง.....แต่ขอโทษ..ดูท่าโพสของคุณพี่เชอร์ซะก่อน..เริ่ด
!ซะ......

 

..กลับจากน้ำตกเหวตาจันทร์อย่างสะบักสะบอมกันพอควร
..บ้างก็อยากรู้ว่าพื้นกว้างยาวเท่าไหร่..ลงไปวัดพื้นซะงั้น
..บ้างก็เดินเท้าเปล่ากลับมา..เพราะถูกรองเท้าบูทรังแกซะงั้น

แต่พอมาถึงบ้านพัก .. ได้เห็น จานดาวเทียม ที่จะทำให้เราสามารถดูบอลโลก(รอบชิงชนะเลิศ)
กับ
อุ้มรัก (ที่กำลังติดหนึบ)ได้ (ตามคำเรียกร้อง..เย้!) ..
ดูสิ..หน้าบานซะยิ่งกว่าจานดาวเทียมซะอีก ..

โฮมสเตย์ ที่พวกเราพักกันคืนนี้ คือ บ้านพี่ดำ .. บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เชียวน่ะเนี่ย

 

พอมาถึงบ้านทุกคนก็อาบน้ำอาบท่าสำรวจร่างกายเพื่อหาน้องทากกันใหญ่
จากนั้นเราก็ได้เหยื่อเด็กน้อยที่จะให้เราแกล้งแล้ว....ลูกพี่ดำนั่นเองชื่อ
น้องอัค และเพื่อนของน้องชื่อ น้องนุ่น
แต่วันนี้น้องๆ ยังกลัวๆเหล่าป้าๆ อยู่ (สงสัยท่าทางไม่น่าไว้ใจแหงมเลย) .. ไม่ยอมให้แกล้ง .. หนีไปเล่นกันเองซะงั้น
 .. ป้าๆๆ ก้อเลยหันไปโซ้ยหมากซะเลย...เฮ้ย
! ไม่ใช่!...กระท้อนน้ำปลาหวาน ต่างหาก.....
ดูคุณพี่แต่ละคนตั้งอกตั้งใจหม่ำกันจริงๆ .. โดยเฉพาะพี่เชอร์ถึงขั้นซับน้ำหมากเอ้ย
! น้ำลายกันเลย ...

 

 

สำหรับรูปนี้สุดท้ายของหน้านี้ .. ลุงหนวด ภูมิใจนำเสนอสุดฤทธิ์

หนุ่ม(เหลือ)น้อย รูปร่างสันทัด ผิวขาว(จัด) หล่อตี๋(แบบรุ่นพิมพ์นิยมง่ะ)
ชอบการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ รักเด็ก(สาว)
ใครสนใจ..ติดต่อผ่านลุงหนวดได้เล้ย

 

ปล..ด้วยจรรยาบรรณของสื่อ จำเป็นต้องปกปิดใบหน้าบางส่วนไว้
ผู้ใดสนใจเป็นพิเศษ..สามารถติดต่อ..ขอดูใบหน้าชัดๆๆได้

(ยังมีต่อนะจ๊ะ)

 

ข้อมูลหมู่บ้านคลองเรือ..คลิกตรงนี้เลยจ๊ะ

กลับไปอ่านตอนที่แล้ว..คลิกตรงนี้เลยจ๊ะ

อ่านตอนต่อไป . .คลิกตรงนี้เลยจ๊ะ